ผมเริ่มมีความรู้สึกว่า
การแก้ปัญหาเรื่องค่าเงินบาท
ได้กลายเป็นละครชีวิตเรื่องยาวที่ตลกปนเศร้าไปเสียแล้ว
คนดูอาจจะต้องคอยลุ้นว่า
ตอนจบจะเหมือนแฮรี่ พอตเตอร์หรือไม่ 7 – 8
เดือนหลังจากละครโหมโรงด้วยการประกาศมาตรการสำรอง
30%
เนื้อหาก็เข้มข้นและสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
จำนวนตัวละครก็เพิ่มมากขึ้น
จำนวนคนดูและคนที่ติดตามละครเรื่องนี้ก็ขยายวงกว้างออกไป
จนอาจกล่าวได้ว่ามีรวมนับล้านคนอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ยิ่งกว่าละครทีวีเรื่องดังๆในอดีต
ตลอดจนช่วยกลบกระแสความร้อนแรงของเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มกับขั้วต่างๆ
จำนวนตัวละครที่เพิ่มขึ้นมาก
ส่วนหนึ่งเกิดจากมีธุรกิจที่เดือดร้อนจำนวนมากขึ้น
จนทนเป็นคนดูต่อไปไม่ไหวต้องกระโดดลงมาช่วยเล่น
อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการมีนักวิชาการจำนวนมากเรียงหน้ากันออกมาเสนอความเห็น
และแม้แต่ในหมู่สื่อมวลชน
ในช่วงแรกก็เป็นเพียงการวิพากย์ละครและเสนอข่าวในแง่มุมต่างๆ
แต่พอนานเข้าบางท่านก็พัฒนาตนเองจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องค่าเงินบาท
และกระโดดลงมาร่วมเล่นละครเสียเอง
ล่าสุดมีนักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินระดับเฮฟวี่เวทหลายท่าน
กระโดดลงมากลางเวทีพร้อมๆกัน
ด้วยข้อเสนอและข้อแนะนำที่ค่อนข้างรุนแรง
เรียกเสียงฮือฮาจากคนดูได้ไม่น้อย
แต่จะช่วยให้ละครเรื่องนี้จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งได้หรือไม่
ผมไม่แน่ใจ
ที่ผมชอบใจเป็นพิเศษคือ
อดีตผู้บริหารแบงก์ชาติท่านหนึ่ง
แนะนำน้องๆที่อยู่ข้างหลังว่า
ถ้าหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีด้วยตัวเองไม่ได้
ก็ควรไปศึกษาวิธีของธนาคารกลางประเทศอื่น
เพราะประเทศอื่นๆดูเหมือนจะแก้ปัญหาเดียวกันได้ดีกว่าเรา
ตัวผมเองตอนแรกก็คิดจะเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเพิ่มเติมจากที่เคยพูดไปบ้างแล้ว
แต่ทบทวนดูแล้วก็สรุปว่าอย่าดีกว่า
เพราะคงไม่เกิดประโยชน์อันใด
รังแต่จะสร้างความสับสนเล็กๆขึ้นมาอีกเปลาะหนึ่ง
ขอเพียงพูดซ้ำสั้นๆในสิ่งที่เคยพูดแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนว่า
ถ้าหาทางออกไม่เจอ
ก็ให้ย้อนกลับไปที่ทางเข้า
ในส่วนที่ทำท่าจะเป็นเรื่องตลกมุขสำคัญของละครเรื่องนี้
คือข่าวเรื่องทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้ง 2
ทีม เกิดเกาเหลากันเอง
ทีมหนึ่งพร้อมที่ปรึกษาใหญ่
และมีแรงหนุนจากแบงก์ใหญ่
อยากให้ลดดอกเบี้ยแรงๆ
อีกทีมหนึ่งพร้อมทีมที่ปรึกษาจากสถาบันวิจัยใหญ่
สนับสนุนแนวทางที่ผ่านมาของแบงก์ชาติในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ย
คือสรุปว่าสวนกระแสตลาดโลกมามากพอแล้ว
มากกว่านี้อาจเป็นอันตรายต่อภาวะการออมในระยะยาว
ผมอ่านข่าวหนังสือพิมพ์บอกว่า
ทีมเศรษฐกิจทั้ง 2 ทีมคุยกันไม่รู้เรื่อง
เลยจะนำเข้าเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
เพื่อให้ท่านอื่นๆที่ไม่รู้เรื่องยิ่งกว่า
ช่วยกันตัดสิน
มุขตลกมุกนี้ ถ้าเป็นเรื่องจริง
ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าลึกๆ
ที่สะท้อนความไม่ค่อยจะเอาไหนในบางเรื่องของสังคมไทย
ที่สำคัญคือการไม่แบ่งอำนาจ หน้าที่
และความรับผิดชอบกันให้ชัดเจนระหว่างหน่วยงาน
ท่านผู้อ่านลองนึกภาพดูว่า
ถ้าการแก้ปัญหาเรื่องค่าเงินบาท
ต้องกลายเป็นวาระแห่งชาติ
ตัดสินกันด้วยการถกกันผ่านสื่ออย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
หรือด้วยการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างที่มีข่าวว่าจะเป็น
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดแลกเปลี่ยน
และตลาดเงิน ตลาดทุนของประเทศ
ผมเดาได้ว่าจะเกิดการเก็งกำไรกันมหาศาล
จะเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างมาก
ระหว่างกลุ่มที่รู้ว่าผลของการลงมติจะออกมาเป็นอย่างไร
กับกลุ่มที่ไม่รู้หรือรู้ช้ากว่า
นอกจากนี้อาจเกิดปัญหาว่ากระบวนการตัดสินโปร่งใสหรือไม่
ผู้ที่มีส่วนร่วมมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่
ด้วยเหตุนี้ ในระบบที่ดี เขาจึงมีธนาคาร
กลางที่มีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน
ภายใต้กรอบใหญ่ของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
โดยผู้บริหารธนาคารกลางจะเป็นบุคคลที่สังคมให้ความเชื่อถือ
ทั้งด้านความรู้ ความสามารถ คุณธรรม
จริยธรรม และปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ
ในวันนี้ มองจากฝั่งของแบงก์ชาติ
มีบุคคลภายนอกก้าวก่ายการทำงานของแบงก์ชาติมากมาย
ถ้าเป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ
หรือสื่อมวลชน
คงไปห้ามไม่ให้เขาวิพากย์วิจารณ์ไม่ได้
แต่อย่างน้อยเจ้าหน้าที่รัฐและคนในรัฐบาล
ก็ไม่ควรเข้ามาแทรกแซง ล้วงลูก
หรือวิพากย์วิจารณ์และกดดันผ่านสื่อ
ท่านนายกรัฐมนตรีควรจะพิจารณาขอร้องให้ทีมเศรษฐกิจของท่าน
หยุดเสียเวลาคิดแก้ปัญหาเรื่องค่าเงินบาท
และหยุดให้ข่าวทั้งทางตรงทางอ้อมกับสื่อ
ที่รัฐบาลต้องตัดสินใจคือ
นโยบายการเงินปัจจุบันและค่าเงินบาท
สอดคล้องหรือมีผลกระทบกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลแค่ไหน
มากพอที่จะต้องยื่นคำขาดกับแบงก์ชาติหรือไม่
ถ้าเห็นว่าจำเป็น
ท่านนายกฯอาจต้องเป็นคนกระซิบบอกท่านผู้ว่าฯว่าต้องการเห็นค่าเงินบาทอยู่ในช่วงไหน
ภายในเวลาเท่าไร และถ้าทำไม่ได้ หรือไม่ทำ
จะมีผลอย่างไร
|