สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ในเครือสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์

                             ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

         

                                              แม่ของผม 

                                                                                                

                                                                                             น.พ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

 

ไม่เคยต้องนั่งเครื่องบินนานขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเครื่องบินมันบินช้า แต่อยากให้มันบินถึงดอนเมืองเร็วกว่านี้ เพราะใจมันร้อนรุ่มเหลือเกิน นี่ยังไม่ถึงสองวันหลังจากได้รับโทรศัพท์ว่าแม่ไปอยู่ไอซียูเพราะโรคหัวใจ ผมก็มาบินอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิค

            พอลงจากเครื่องบินผมก็ให้คนรถส่งตรงไปที่โรงพยาบาลสมิติเวช เจอญาติผู้ใหญ่ที่มานั่งรออยู่นอกไอซียู พอกราบทักทายท่านเรียบร้อยแล้วท่านก็บอกเบอร์ห้องของไอซีซียูให้ ผมและภรรยาก็ขออนุญาตเข้าไปเยี่ยม พอเปิดม่านที่กั้นเป็นฉากที่หน้าเตียงออก ผมแทบช๊อก พูดไม่ออก น้ำตาไหลพรูออกมาโดยไม่รู้ตัว

โธ่แม่ เป็นโรคหัวใจเพียงสองวันทำไมตัวดำไปหมด แถมตัวหดเล็กลงไปด้วย กำลังจะทักอยู่ คนไข้ที่นอนหันหลังให้พอได้ยินเสียงม่านเปิดก็หันมาแล้วมองหน้าผมและภรรยาด้วยความงุนงง ผมและภรรยาก็งุนงงเหมือนกัน เพราะนี่ไม่ใช่แม่ผมนี่ เป็นคุณป้าที่ตัวเล็กและผิวคล้ำคนหนึ่ง ความรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรที่ผิดปรกติอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นแน่ ขาผมชักอ่อน หายใจอึดอัด เชื่อว่าญาติผู้ใหญ่ที่มานั่งรอเฝ้าอยู่ข้างนอกต้องบอกเบอร์ห้องผิดแน่ ผมรีบเดินไปถามพยาบาลซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับคนไข้อีกคนหนึ่ง กว่าจะรู้เรื่องว่าแม่ผมได้ย้ายออกจาก ไอซีซียู ICCU (Intensive Cardiac Care Unit) ไปอยู่ห้องไอซียู ICU เพราะพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องต่อเข้าเครื่อง ตรวจสอบหัวใจยี่สิบสี่ชั่วโมง ยังกับยกก้อนหินออกจากอกผมไปได้ เมื่อไปถึงห้องของแม่แล้วเจอแม่ที่หน้าตายังแจ่มใสดีอยู่ แถมถามไถ่ถึงเรื่องเดินทาง ผมเลยขอกอดแม่อีกครั้งหนึ่งเหมือนตอนเด็ก ๆ

           ผมก็มีแม่อยู่คนเดียว เพราะผมเกิดมาแม่ผมก็เป็นหม้ายหย่าผัว เมื่ออายุราว ๆ สามสิบ เดินออกจากบ้านที่อำเภอโพธารามของพ่อพร้อมกับลูกสองคน แต่ทิ้งลูกชายคนโตให้ย่าเลี้ยง แล้วก็ไม่เคยย้อนกลับไปอีกเลย ส่วนผมนั้นยังอยู่ในท้อง โดยแม่ผมก็ไม่รู้ว่ามีลูกในท้องอีกคนติดมาด้วย เมื่อมาถึงบางกอก คุณตาผมเมตตายอมให้ลูกสาวลูกติดกลับเข้าบ้านมาอยู่ด้วย แม้คุณตา (ขอเรียกเป็นก๋ง ) ผมจะเป็นคนจีนหัวโบราณ เป็นคนมีอันจะกิน มีโรงยาฝิ่น โรงสีข้าวแบบเครื่องเยอรมัน และโรงจำนำอีกแห่ง แต่ก๋งก็ถือตามธรรมเนียมจีนว่าไม่ใช่หน้าที่ ที่จะต้องเลี้ยงดูลูกสาวและหลาน ๆ ที่หย่ากับสามี  เพราะออกจากเรือนแล้วก็แล้วไป ถ้าจะกลับมาอยู่บ้านก็ต้องหาเลี้ยงชีพเอง (เพราะพ่อผมเขาไม่เคยส่งเสียพวกลูก ๆ เลย แม้แต่มาเยี่ยมก็ยังไม่เคยมา) แม่ผมก็ต้องออกทำการค้าเอง เช่นไปรับซื้อข้าวจากต่างจังหวัดมาขายที่โรงสีข้าวของก๋ง ครั้งละหลาย ๆ อาทิตย์ รับจำนำของจากผู้อื่น เปิดร้านขายผลไม้และสินค้าจิปาถะ เพื่อเลี้ยงชีพของตนเองและของลูก ๆ เท่าที่รู้แม่ผมหาเงินไม่พอให้ลูก ๆ เรียนหนังสือ แม้จะทำงานหามรุ่งหามค่ำ คุณยายผมก็ควักสตางค์ส่งให้เสมอ โชคดีที่ยังมีน้องสาวคือน้าคนที่สี่คอยช่วยเหลือดูแลหลานให้และอุปการะทุกอย่างตอนแม่ต้องไปค้าขาย ดุจแม่คนที่สองเลยทีเดียว

          แม่ผมเป็นคนที่ใจคอเด็ดเดี่ยวมาก ที่หย่ากับพ่อผม เพราะเป็นคนที่ไม่เอาไหนเลย งานการไม่ทำ ดื่มเหล้า เล่นผู้หญิง แม่ผมก็เลยไม่ขอทนอีกต่อไป กลับบ้านก๋งที่กรุงเทพ ฯ คนที่เห็นใจและเสียใจมากที่สุดคือคุณยายผม ที่ยกลูกสาวให้แก่ลูกที่ไม่เอาไหนของญาติห่าง ๆ ที่อำเภอโพธาราม  เพราะเป็นคนมอญด้วยกัน แม้แม่ผมจะหย่าแล้วจะมีคนมาสู่ขอไปเป็นเมียอีกครั้ง และแม่ก็ยังสาวอยู่ แม่ผมก็ไม่ยอมแต่ง เพราะคงเข็ดในเรื่องผู้ชาย และสงสารลูก ๆ สามคน

          ตอนเด็ก ๆ ได้ยินน้าผู้ชายที่คอยแต่เยาะเย้ยแม่ผมและหลาน ๆ  หรือไม่ก็ "พ่อมึงมันเลว ลูกมันก็คงเลว เพราะมันเหล่ากอเดียวกัน" นี่แหละสันดานของน้าชายลูกชายคนจีนที่ถือว่าผู้หญิงที่แต่งออกไปแล้ว คือผู้ที่ตายไปแล้ว จะกลับมากินข้าวบ้านนี้ต่อไปไม่ได้ เท่ากับมากินสมบัติของเขาอย่างนั้นแหละ

          การเป็นแม่หม้ายนี่นอกจากคนจะดูถูก กลั่นแกล้งแถมเอาเปรียบทุก ๆ อย่าง ลูก ๆ ก็โดนรังแกด้วย เอาเปรียบ ดูถูกเหมือนเด็กคนใช้ ตอนผมอายุห้าขวบตอนนั้นสงครามโลกครั้งที่สองใกล้จะจบ ทหารพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่กรุงเทพ ฯ บ้านผมอยู่ใกล้โรงไฟฟ้าวัดเลียบและสะพานพระพุทธยอดฟ้า เล่นมาบอมบ์เช้าบอมบ์เย็น แม่ผมเลยรีบจัดการส่งลูกไปอยู่กับญาติที่หนองจอก ที่เขาย้ายไปอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ถูกเขารังเกียจไม่ให้อยู่ด้วย แม่เลยต้องไปเช่าห้องแถวโกโรโกโสในตลาดอยู่ ผมมีพี่น้องสามคน พี่สาวคนโตก็ชักโตแล้ว ราว ๆ สิบสามปี ส่วนพี่ชายอีกคนก็ราว ๆ 8 ขวบ สามคนพี่น้องอยู่บ้านห้องแถว แม่ผมก็จัดแจงทุกอย่าง ที่นอนหมอนมุ้ง เครื่องทำอาหาร อาหารแห้ง ข้าวสารเป็นปิ๊บ และให้สตางค์ติดตัวไว้พอสมควร แล้วยังเอาเงินฝากไว้กับญาติอีกก้อน ถ้าจำเป็นก็ไปเบิกเอามาใช้ พอแม่ผมกลับกรุงเทพ ฯ ญาติตัวดีมาละ แบ่งเอาข้าวสารเสียครึ่งปิ๊บ และเงินสตางค์ที่ให้ติดตัวเล็กน้อยก็ริบไปด้วย ทั้งพี่และน้องไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แต่กอดคอร้องไห้กลัวจะอดตายเท่านั้น แค่นี้ยังไม่พอ ญาติเขาจะเอาเสื้อผ้ามาให้พี่สาวซักทุกวัน พี่ผมก็ตัวเล็ก ๆ ต้องซักเสื้อผ้าบ้านโน้นอีกสามคนที่ท่าน้ำ แน่นอนต้องพาน้องอีกสองคนไปอยู่แถวท่าน้ำด้วย ก็เพราะความซน วันหนึ่งผมเลยตกลงไปในคลอง มีคนช่วยไว้ทัน ไม่นั้นก็คงเป็นผีแถวท่าน้ำหนองจอกแล้ว

แม้จะไม่มีเงินซื้อขนม แต่อาหารแห้ง เช่น ไข่เค็ม ปลาเค็ม ผักดองก็พอจะประทังชีวิตอยู่ได้อย่างสบาย แต่ลำบากที่ญาติคอยมาแกล้งทั้งคำพูดและเรียกใช้ให้ไปทำงาน เช่นหาบน้ำให้เขา เทกระโถนให้ เช็ดเรือน เราแต่ละคนก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยและภาวนาว่าแม่จะกลับมาดูลูกอีกเมื่อไหร่

ผลภาวนาก็ได้เป็นจริง หลังหนึ่งเดือน ครานี้พระเจ้าส่งเป็นคุณยายมา คุณยายเห็นสภาพที่เป็นอยู่ถึงกับน้ำตาคลอ เสียงสั่น ด้วยเห็นหลาน ๆ ที่อยู่ในสภาพเกือบเหมือนขอทาน คุณยายก็ไม่ไปพูดกับญาติผมที่เป็นลูกสาวท่าน แต่สั่งให้เก็บข้าวของ คืนห้องแถวไปแล้วกลับกรุงเทพ ฯ ในวันรุ่งขึ้น

เมื่อผมอายุสักสองสามขวบมีญาติที่เป็นเศรษฐีแถวพาหุรัตน์จะมาขอผมไปเป็นลูก แม่ผมก็ยินดีจะยกให้ เพราะจะได้ไปอยู่ในสภาพที่ดีกว่านั้น เพราะตอนเด็ก ๆ ผมป่วยบ่อยเหลือเกิน และแต่ละครั้งก็หนัก ๆ เสียด้วย เสียค่ารักษาโรคไปก็มาก แต่ก๋งผมไม่ยอม เพราะถูกชะตาอะไรขึ้นมาไม่ทราบ ท่านก็รักของท่าน เอาใจทุกอย่าง แม้ท่านไปโรงยาฝิ่น ผมก็ตามไปดมกลิ่นฝิ่นด้วยตอนที่ท่านเป่าควันฝิ่นปุ๋ย ๆ ออกมาเต็มหน้าผม แล้วก็สั่งสอนผมทุกอย่างแบบฉบับของจีนในเรื่องของบาปบุญคุณโทษ

เมื่อผมอายุได้13ปี ผมได้ทำความชอกช้ำใจแก่แม่ผมอย่างมาก ด้วยญาติที่คอยกลั่นแกล้งครอบครัวผมเรื่อยมานั้น ได้พูดต่อหน้าผมว่า แม่มึงคิดจะทำแท้งเอามึงออก เพราะมึงมันไม่มีพ่อ โตขึ้นมึงก็คงเหมือนพ่อมึง เชื้อไม่ทิ้งแถว

ผมฟังแล้วรู้สึกเย็นวาบลงไปถึงหัวใจ มีความเจ็บปวดที่บอกไม่ถูก ถ้ามีทางที่จะกำจัดตัวเองให้พ้นจากโลกได้ ผมก็คงทำเดี๋ยวนั้น นั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับเมื่อผมกลับบ้านแล้วเจอแม่ผม ผมก็โพล่งต่อว่าแม่ผมอย่างไม่มีสติ ว่าทำไมจะตั้งใจทำแท้งผม แม่ผมถูกผมถามด้วยความน้อยอกน้อยใจและโมโหของผม ก็ได้แต่นั่งอึ้งและน้ำตาไหล ไม่ได้ตอบคำถามของผมสักคำ ท่านนั่งมองผมด้วยน้ำตานองอยู่ตั้งนานแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง ไม่ได้ออกมากินข้าวเย็น

ผมเองก็ได้แต่ร้องไห้เหมือนกัน กว่าจะรู้ตัวก็ตกค่ำแล้ว พวกพี่ ๆ กลับมาจากที่ทำงาน เมื่อพี่ ๆ รู้เรื่องเข้าต่างก็โมโห เห็นพี่ชายผมโมโหอย่างสุดขีด ถ้าสามารถฆ่าผมได้ก็คงทำไปแล้ว ส่วนพี่สาวก็ได้แต่ด่าว่าผม ว่าเป็นลูกอกตัญญู ไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าแม่อย่างนั้นเลย พอได้สติกลับคืนมา ผมก็คิดได้ว่าตัวผมได้สร้างความบาปที่อภัยให้ไม่ได้ต่อแม่

ทั้งเสียใจและกลัวบาป เลยยิ่งนึกอะไรไม่ออก ได้แต่ถามตัวเองว่า ผมนี้มันเกิดมารกโลกทำไม คงถูกต้องอย่างที่ญาติผู้ใหญ่เขาพูดเยาะเย้ยอย่างนั้น ถ้าตอนเป็นทารกในท้องและคิดได้อย่างที่ผมคิดอยู่ตอนนั้น ผมก็คงแท้งตัวเองในท้องแม่ แม่จะไม่ต้องทนทุกข์ระทมอย่างทุกวันนี้

ผมก็นอนคิดแล้วก็ร้องไห้เงียบ ๆ ไปทั้งคืน ที่ได้ทำบาปทำกรรมด้วยวาจาและใจต่อแม่ ด้วยการกล่าวหาอย่างชั่วร้ายอย่างนั้น อันจะเป็นเวรกรรมที่จะติดตัวผมไปทั้งชาติ ไม่มีอะไรดีไปกว่านอนร้องไห้และคิด

ด้วยอายุแค่สิบสาม บ้านก็ยากจน ความรู้ก็ไม่มี รู้เพียงแต่ภาษาจีนเท่านั้น ด้วยวันหนึ่งคุณแม่ก็คงแก่ลง คงเลี้ยงดูผมต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ถึงตอนนั้นแล้วชีวิตผมจะเป็นยังไงต่อ แล้วใครจะมาเลี้ยงดูแม่ต่อ

เริ่มมามองที่ตัวเอง ว่าผมเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมต้องมาเกิดในครอบครัวที่ทุกข์ยากอย่างนี้  แล้วต่อไปจะทำอะไร ถึงจะไม่ถูกเขาดูถูกได้ แล้วจะตั้งตัวให้เจริญได้อย่างไร จิตใจและหัวผมมันวุ่นวายสับสนเพราะปัญหาทั้งหมดนี้ ไม่รู้ตัวว่าหลับไปเมื่อไหร่ด้วยความเพลีย รุ่งเช้าความคิดที่เป็นเด็ก ๆ อย่างไม่รับผิดชอบ ก็หายไปหมด เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ในคืนเดียวเท่านั้น รู้แต่ว่าอยากออกจากบ้านไปหางานทำเหมือนพี่ ๆ  ถ้าเป็นเหมือนภาพยนตร์ผมบนหัวผมคงเปลี่ยนเป็นสีขาวในคืนนั้นเอง

วันรุ่งขึ้นเผอิญเป็นวันอาทิตย์ พี่น้องและแม่ก็อยู่บ้าน ผมก็ไปกราบเท้าขอโทษแม่ที่พูดจาล่วงเกินอย่างร้ายกาจอย่างนั้น และขออภัยอย่าให้ผมต้องมีเวรกรรมตกนรกดังที่ก๋งเคยอบรมสอนไว้ อารมณ์ผมก็เย็นลง เหลือแต่ความกระตือรือร้น ที่คิดจะออกจากบ้านไปหางานทำอีท่าเดียว แล้วก็บอกกับพี่ทั้งสองดั่งที่คิด ส่วนแม่บอกว่าผมยังเล็ก เงินเดือนที่เขาจะให้ก็คงไม่พอเลี้ยงตัวเอง โอกาสที่จะเรียนหนังสือต่อก็ยังมี  และอายุขนาดนี้เขาก็ให้เรียนกวดวิชาได้แล้ว

 พี่ผมก็บอกผมว่าสมควรเรียนกวดวิชาประถมสี่ที่วัดจังวังดิษฐ์ แถววรจักร

เออ การเรียนกวดวิชาก็ไม่ยากเย็นอย่างที่ผมกลัวมาก่อน ผมเรียนจบชั้น ป. สี่ ภายในปีเดียว ตอนนั้นอายุก็สิบสี่แล้ว จะย่างเข้าสิบห้า ความคิดที่อยากจะออกไปทำงานก็ยังแรงอยู่ พี่ผมต้องทั้งขู่ทั้งบังคับให้ผมเรียนกวดวิชาต่อชั้น ม. สาม ที่วัดสระเกศ พี่จะจ่ายค่าใช้จ่ายให้ สองปีต่อมา ผมก็จบชั้น ม.หก ผมก็ไม่รู้ว่าถ้าผมเรียนต่อชั้น ม. แปดต่อ ถ้าจบ แล้วผมจะไปเป็นอะไรต่อในชีวิต แต่ช่างเถิดเรามีหน้าที่เรียน ก็ต้องเรียนและก็เรียนให้หนักด้วย อีกปีผมก็จบ ม. แปด จนได้ จบแล้วพี่ผมก็จะให้ผมเรียนเป็นหมอ เพราะบอกว่าผมเรียนเก่ง เสียดายถ้าไม่เรียนต่อ

แต่พี่ไม่รู้อยู่อย่าง ความฉลาดของผมมีแค่ 25% เท่านั้น ที่สอบผ่านได้หมดเพราะผมมันนอนตีสามถึงตีสี่แทบทุกคืน ด้วยช่วงนั้นแม่กลัวว่าผมจะตายเสียก่อน เพราะเร่งเรียนเหมือนกับจะเร่งตัวเองให้ตายเร็ว ๆ เลยเอาใจชงน้ำสมให้กินทุกคืน

พี่สาวผมอยากให้ผมเรียนเป็นแพทย์ต่อ เพราะเขาเป็นพยาบาล ส่วนในใจลึก ๆ ของผมก็อยากจะเรียนทนายความ เพราะเห็นรูปถ่ายของผู้พิพากษาทั้งหลายช่างสง่าเสียกระไร และด้วยชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับ เปาบุ้นจิ้น และ เชอร์ลอกโฮม มากไปหน่อย ก็อยากจะเป็นเหมือนท่านเปาด้วย และถ้าไปเรียนที่ธรรมศาสตร์ก็สามารถออกมาทำงานหากินตอนกลางวันได้ด้วย

สุดท้ายผมก็ตามใจพี่สาวผม สอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เออ มันเป็นบุญหรือกรรมกันแน่ สอบติดกับเขาด้วยอายุเพียงสิบเจ็ด

ด้วยตอนนั้นแม่ผมก็ป่วยบ่อยก็เลยเลิกกิจการค้าขาย ย้ายไปอยู่บ้านเช่าโทรม  ๆ แถววงเวียนใหญ่

ด้วยปัญหาความยากจน ผมก็คิดเองว่าเรียนเก่งแล้วจะยังไง ไม่เก่งยังจะดีกว่า เพราะไม่มีเงินพอจะจ่ายอะไรต่ออะไรอีกมากซึ่งต้องใช้เงินทั้งนั้น คิดจะไม่เรียนหมออีท่าเดียว เพราะท้อแท้ใจมาก ต้องเรียกว่ามีความบีบคั้นทางจิตใจมาก ขนาดปลายเดือน บางวันมีเงินติดกระเป๋าอยู่แค่ห้าบาท ทุกวันก็ต้องกินมื้อเที่ยง ส่วนค่ารถจากจุฬาฯ กลับบ้าน มันเป็นปัญหาบ่อย บางวันก็ต้องเดินกลับบ้าน ต้องปลอบใจตัวเองว่า เราเดินออกกำลังกายนะ (ออกกำลังผีอะไร เดินกลับถึงบ้านที่วงเวียนใหญ่มันเพลียไปหมด นอนหลับเหมือนตาย) ปีแรกก็เลยสอบตกซ้ำชั้น ด้วยสองวิชาเท่านั้น เพราะวิชาแรกตกสองคะแนน วิชาที่สองตกเพียงคะแนนเดียวเท่านั้น ด้วยสภาพจิตที่เสื่อมโทรมลงอย่างมากจากความกดดัน ผมยืนกรานกับแม่และพี่ว่าจะออกจากมหาวิทยาลัยไม่เรียนหมออีกแล้ว ส่วนคุณแม่และพี่สาวก็ยืนกรานว่าผมจะต้องเรียนให้เป็นหมอให้ได้ ส่วนเรื่องเงินค่าการศึกษานั้นคุณแม่จะไปหยิบยืมเงินทองจากน้าคนที่สี่ที่เคยเลี้ยงดูผมมาตลอดตอนผมยังเด็กอยู่ คุณน้าเลยเรียกผมไปอบรมเสี่ยหลายชั่วโมง และสัญญาว่าจะจ่ายค่าใช้จ่ายผมไปตลอด ให้ผมตั้งใจเรียนอย่าให้ท่านและแม่ต้องเสียใจ

นั่นแหละครับ เมื่อสุขภาพจิตมันดีขึ้น ผมก็ตั้งใจเรียนจนจบแพทย์ ไม่ให้ผู้ใหญ่รวมทั้งพี่ทั้งสองต้องผิดหวัง

ในวันที่ผมได้รับพระราชทานปริญญาบัตรแพทย์ที่หอประชุมที่โรงพยาบาลศิริราช หน้าตาของแม่ผม มีแต่ความอิ่มเอิบสดใส ชื่นชมในความสำเร็จของลูกที่ท่านเกือบคิดจะทำแท้งไปแล้ว (ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว)

เมื่อผมโตเข้ามหาวิทยาลัยแล้วญาติ ๆ ก็ยังเอาเปรียบและถากถางแม่ผมอยู่เสมอ ด้วยสภาพที่โดนเข้าบ่อย ๆ อย่างนี้ และความเจ็บแค้นมาแต่เดิม ในวันตรุษจีนปีหนึ่ง ที่ทุกคนต้องมาไหว้ก๋งและยาย เพราะเหตุอะไรก็ไม่ทราบผมได้พูดด้วยอารมณ์ที่คั่งค้างไว้ว่า วันหนึ่งถ้าผมเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมา ผมจะมาแก้แค้นทุกคนที่เคยเหยียบหยามและเอาเปรียบแม่ผม ให้จำหน้าผมไว้ แต่ผมก็ไม่ได้ทำอย่างที่พูดไว้จนถึงเดี๋ยวนี้ เพราะตอนนี้ทุกคนก็ตายจากไปเสียหมดแล้ว

ตอนผมเป็นหมอแล้ว คุณแม่ก็ไม่มีทำการค้าอะไรแล้ว สุขภาพท่านก็แย่ตามไปด้วย  ลูก ๆ  เลยต้องให้เลิกทำการงานทุกอย่าง แม้กระทั่งให้คนอื่นกู้เงิน  เพราะโดยมากกู้ไปแล้วก็ไม่เคยคืนกัน คุณแม่ก็ไม่จัดการกับพวกนี้สักอย่าง

ผมและพี่ ๆ ก็จัดการซื้อบ้านใหม่ แต่อยู่ไกลจากใจกลางเมืองหน่อย แม่ชอบฟังเทศน์ฟังธรรมมาก ทุกอาทิตย์ต้องให้คนใช้พาไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัดมหาธาตุ ผมก็ไม่ทราบว่าแม่เข้าถึงแก่นธรรมหรือเปล่า รู้แต่ว่าตอนหลังแม่จะไม่ชอบเรื่องไสยศาสตร์และเรื่องงมงายทั้งหลาย แม้กระทั่งพระเครื่องท่านก็ไม่ยินดีให้ลูก ๆใส่คอกัน

ด้วยความลำบากของครอบครัวผม ลูกทุกคนเลยหัดทำงานได้ทุกอย่าง ไม่มีใครเสียเด็ก ไม่ดื่มสุรา ไม่เที่ยวเกเร และก็เรียนหนังสือดีทุกคน พี่ชายคนรองก็เป็นเจ้าของรถแท๊กซี่ให้เช่ากว่าร้อยคัน

เมื่อผมมาเรียนต่อที่อเมริกา ผมก็ไม่คิดว่าจะอยู่นานจนฝังรกรากขนาดนี้ ผมต้องกลับเมืองไทยทุกปี และบ่อยครั้งเพราะแม่ไม่สบาย ก็จากโรคหัวใจเสียส่วนมาก

ตอนแม่ผมหายสบายดี วันหนึ่งผมก็ถามว่าถ้าแม่เสีย แม่จะให้ทำศพอย่างไร แม่ก็บอกว่าก็เผาซี่ ให้เร็วที่สุดยิ่งดี แล้วก็เอาอัฐิไปโรยน้ำเสีย อย่าทำพิธีใหญ่โตอะไร หลังจากงานศพแล้วก็ไม่ต้องทำพิธีไหว้ทุกปี แถมด้วยคำสั่งสอนว่าการทำงานศพใหญ่มันเสียสตางค์มาก ไม่ได้อะไรดีขึ้นสำหรับคนตาย มันเป็นพิธีหลอกคนเป็น คนตายไม่รู้เรื่องด้วย

คำสอนที่สำคัญของแม่คือ ตอนเป็น ๆ อยู่อย่าทำ "เจ๊กอั้ก" (แปลว่ากรรมชั่ว) ก็แล้วกัน และก็อย่าไปเจ็บแค้นญาติ ๆ เขาหรอก มันเป็นเวรกรรมของแม่แต่ชาติก่อน

คำสั่งสอนของคุณแม่ที่ยังติดตรึงใจผมอยู่ คือ มีคนเขาลำบากกว่าเราเยอะ เรามีข้าวกินทุกวันก็โชคดีกว่าคนอื่นอีกมาก ถ้าคนอื่นเขาลำบาก เราช่วยเขาได้ก็ควรช่วยเท่าที่จะทำได้ จงหลีกเลี่ยงที่จะไปทำเวรกรรมแก่คนอื่น เพราะเวรกรรมมันกลับมาหาเราเร็ว กว่าเราจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว

นั่นเป็นคำอบรมและสั่งเสียครั้งสุดท้ายของแม่ ยังไม่ถึงปี ท่านก็จากไปอย่างเงียบ ๆ บนตักของหลานสาว ระหว่างทางไปโรงพยาบาล

 

 

หมายเหตุ : ลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของบทความนี้ เป็นของผู้เขียนบทความแต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ สามารถติดต่อได้ที่ info@cualumni.us             

                                                       

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2007 Chulalongkorn University Alumni Association of California