เมื่อดอลล์หมดมนต์ขลัง
อรุณ
จิรชวาลา
อรุณ จิรชวาลา
สอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้เป็นที่ 1 ของรุ่น
หลังจากเรียนที่จุฬาฯ ได้ไม่นาน
ก็สอบชิงทุนโคลัมโบไปศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลีย
จบการศึกษากลับมา ทำงานทางด้านการเงิน และการธนาคาร ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ
หลายแห่ง ตำแหน่งสุดท้ายคือ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารนครหลวงไทย
ก่อนที่จะลาออกมาประกอบธุรกิจส่วนตัว
อรุณมีผลงานการเขียนมากมาย
ทางด้านการเงิน
และการธนาคาร
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และวารสารชั้นนำของไทย
_____________________________________________________________________________________________________________________________________
เงินเหรียญสหรัฐเริ่มเสื่อมมาหลายปีแล้ว
แต่ถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นเกิดเมื่อใด อะไรคือสาเหตุ ต่างคนคงต่างความคิดกัน
สัญญาณบอกเหตุแห่งความเสื่อมเท่าที่ผมนึกได้มีดังนี้
หนึ่ง สหรัฐขาดดุลการค้ากับดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรงยิ่งขึ้นทุกปี
ในขณะที่ฐานะการคลังอ่อนแอลงจากการขาดดุลงบประมาณ
และจากค่าใช้จ่ายในการทำสงครามอิรัก
สอง
ธนาคารกลางบางประเทศเริ่มคิดจะลดสัดส่วนเงินทุนสำรองที่อยู่ในรูปเงินเหรียญสหรัฐ
สาม บทบาทของเงินเหรียญสหรัฐที่มีต่อเศรษฐกิจกับเงินเฟ้อโลกลดลง
การขึ้นลงดอกเบี้ยของสหรัฐไม่ทำให้ชาติอื่นๆต้องปรับตัวอย่างมากมายเหมือนในอดีต
สี่ การเติบโตของจีนกับอินเดีย ซึ่งมีประชากรมาก
ทำให้สูตรการจัดสรรทรัพยากรโลกเปลี่ยนไป โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะลงตัว
แต่ที่ชัดเจนคือ ส่วนแบ่งของสหรัฐจะต้องลดลง
ห้า ปัญหาซับไพร์ม ซึ่งเพิ่งโผล่ขึ้นมาให้เห็นไม่กี่เดือน
สะท้อนให้เห็นความอ่อนแอ อย่างน้อยก็ในบางภาคเศรษฐกิจของสหรัฐ
หก การลดดอกเบี้ยลง 0.5% ของเฟดครั้งล่าสุด
เกือบจะเหมือนเป็นการตอกฝาโลงให้กับเงินเหรียญสหรัฐ
ทำให้ผู้ที่ถือเงินเหรียญสหรัฐอยู่ในมือขาดความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า
มันจะคงมูลค่าเอาไว้ได้ในระยะยาว
ผลที่ตามมาคือการอพยพออกจากเงินเหรียญสหรัฐไปหาแหล่งลงทุนอื่น
เป้าหมายแรกเบนไปที่เงินยูโร
ซึ่งเป็นสกุลที่มีศักยภาพสูงสุดในการแทนที่เงินเหรียญสหรัฐ
เงินยูโรจึงแข็งค่าขึ้นเป็นลำดับ ทำลายสถิติเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ในครั้งนี้ แทนที่ยุโรปจะดีใจ กลับมีขบวนการต่อต้านอย่างรุนแรง
กลุ่มธุรกิจรีบออกมาโวยวายว่าจะทำให้แข่งขันไม่ได้
รัฐบาลฝรั่งเศสออกมาประกาศจุดยืนว่าไม่อยากให้เงินยูโรแข็ง
จนธนาคารกลางยุโรป หรืออีซีบี ต้องออกมาต่อว่า
ว่าไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลประเทศสมาชิก
มองไปข้างหน้า ผมคิดว่ายากที่เงินยูโรจะแทนที่เงินเหรียญสหรัฐได้เต็มที่
เพราะยุโรปมีหลายประเทศ พื้นฐานเศรษฐกิจกับฐานะการเงินต่างกัน
ประเทศที่อ่อนแอกว่าย่อมทนไม่ไหวที่จะเห็นค่าเงินเคลื่อนไหวทีละมากๆ
ครั้นจะพึ่งเงินเยนก็หมดหวัง ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่
แต่ในเรื่องสกุลเงินพยายามทำตัวให้เล็กมาโดยตลอด
รวมทั้งพยายามกีดกันไม่ให้มีการใช้เงินเยนอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ
ประเทศอื่นๆก็พยายามดูแลไม่ให้ค่าเงินแข็งเกินไป มีเพียง 2
ประเทศที่ยินดีให้ค่าเงินแข็ง คือแคนาดากับออสเตรเลีย
เศรษฐกิจแคนาดาเป็นเบี้ยล่างสหรัฐมานาน
เงินเหรียญแคนาดาก็มีค่าน้อยกว่าเงินเหรียญสหรัฐ
เพิ่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่อัตราแลกเปลี่ยนกลับมาอยู่ในระดับ 1:1
(Parity) ซึ่งทำให้ชาวแคนาดาดีใจ
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบถูกมองว่าเป็นพี่น้องกับสหรัฐ โดยอยู่ในฐานะน้อง
คล้ายๆกับที่ลาวไม่อยากเป็นน้องของไทย
สำหรับออสเตรเลีย
ช่วงนี้เศรษฐกิจดีเพราะส่งออกวัตถุดิบกับพืชผลเกษตรได้ราคา
คนออสเตรเลียรักสนุก ค่าเงินที่แข็งขึ้นทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น
ส่วนอนาคตก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะประเทศกว้างใหญ่
ยังมีที่ดินให้แบ่งขายเศรษฐีต่างชาติได้อีกเยอะ เริ่มมีเสียงพูดหนาหูว่า
อีกไม่นานอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะขึ้นไปถึง 1:1 เช่นกัน
เงินเหรียญสหรัฐเริ่มหมดเสน่ห์ แต่จะทิ้งไปหาสกุลอื่น
นอกจากแคนาดากับออสเตรเลียซึ่งเป็นสกุลค่อนข้างเล็กแล้ว
ก็หาสกุลที่เต็มใจต้อนรับไม่ได้
ส่วนหนึ่งจึงต้องหันไปซื้อทรัพย์สินอื่นมาถือไว้แทน จะเห็นว่าในช่วงนี้
ดัชนีตลาดหุ้นเกือบจะทั่วโลกสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า
รวมทั้งดัชนีตลาดหุ้นในสหรัฐเอง ทั้งๆที่ปัญหาซับไพร์มยังไม่จบ
ราคาทองคำและราคาสินค้าประเภทวัตถุดิบก็แข่งกันสูงขึ้น
อีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นราคาน้ำมันที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับบ้านเรา สังเกตุว่าตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมา
ท่านผู้ว่าแบงก์ชาติได้แสดงความยืดหยุ่นแบบเงียบๆ
ในการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้เศรษฐกิจไทยเสียเปรียบ ซึ่งในเรื่องนี้
ผมต้องขอแสดงความชื่นชม และขอคารวะท่านอย่างจริงใจ
หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อสัปดาห์ก่อน
เงินบาทก็กลับเริ่มแข็งค่าขึ้นมาทีละนิด
ซึ่งยังเดาไม่ออกว่ามีการเปลี่ยนกลยุทธอะไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม ผมก็อยากให้กำลังใจท่านผู้ว่า
และอยากเห็นท่านยืนหยัดทำในสิ่งที่ดี ที่ท่านได้ทำมาเดือนกว่าต่อไป
ผมมีข้อเสนอแนะเล็กๆ
ให้แก้ปัญหาสภาพคล่องส่วนเกินด้วยการขึ้นอัตราส่วนเงินสดสำรองของระบบธนาคาร
โดยมีดอกเบี้ยให้ บางที แบงก์ชาติยุคนี้อาจทำให้รัฐบาลขิงแก่โชคดี
ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่ทำให้ทุนสำรองของประเทศเพิ่มพูนขึ้นมาอยู่ในระดับแสนล้านเหรียญสหรัฐ
หมายเหตุ
:
ลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของบทความนี้
เป็นของผู้เขียนบทความแต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะนำบทความนี้ ไปเผยแพร่
สามารถติดต่อได้ที่
info@cualumni.us
ABOUT
US |
EVENTS
|
NEWS
|
ALUMNI
BOARD |
WEBBOARD
|
CONTACT
US
Copyright 2007 Chulalongkorn University Alumni Association of California
|