พอผ่านวาเลนไทน์ไปไม่กี่วัน สำหรับเด็กที่อยู่วัยเรียน ฤดูสอบไล่ปลายปีก็กระชั้นเข้ามา ในจำนวนนี้ มีไม่ต่ำกว่าครึ่งล้านคนที่เมื่อสอบเสร็จแล้ว ก็จะก้าวออกจากประตูโรงเรียนหรือสถาบันที่ศึกษาอยู่เป็นครั้งสุดท้าย โดยไม่มีวันได้หวนกลับมาอีก เด็กเหล่านี้กำลังจะก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นครั้งแรก จะต้องเริ่มต้นชีวิตของการต่อสู้เพื่อหาเลี้ยงตัวเอง รวมทั้งอาจจะต้องรับผิดชอบหาเลี้ยงครอบครัวที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือที่จะมีต่อไปในอนาคต วันก่อนผมไปออกรายการมันนี่ทอล์คของ ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ที่นิด้า ในหัวข้อเรื่อง เอ็มบีเอที่โลกธุรกิจต้องการ มีประเด็นที่น่าสนใจ และอาจเป็นประโยชน์สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบและกำลังหางานทำ ที่ผมอยากหยิบยกขึ้นมาพูดและขยายความต่อไป ดังนี้
เหมือนกับที่ไม่ควรยึดมั่นว่า หนุ่มสาวที่ได้พบในวาเลนไทน์แรก จะต้องกลายเป็นเนื้อคู่ ที่แต่งงานและอยู่กินกันไปจนตาย ผมอยากแนะนำว่า ในช่วงปีแรกๆที่เริ่มทำงาน ให้เปลี่ยนงานหลายๆครั้ง ผมถือว่า ทุกคนควรมีโอกาสได้เห็นดอกไม้หลายๆดอก และมีสิทธิที่จะเลือกดอกที่สวยที่สุดให้กับชีวิต แต่ทั้งนี้ การเปลี่ยนงานก็เหมือนการกระทำอื่นๆ คือต้องยึดหลักว่าไม่เบียดเบียนหรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ไม่ควรทำให้นายจ้างเก่าเสียประโยชน์หรือเสียหาย เช่นหมกมุ่นอยู่กับการหางานใหม่จนไม่เป็นอันทำงาน เอาเวลางานไปหางาน เอาความลับไปแพร่งพรายหรือกลับมาแย่งลูกค้า ผิดสัญญาจ้างงาน ตลอดจนทะเลาะกับนายจ้างและเพื่อนร่วมงานก่อนลาออก เป็นต้น ผมเชื่อว่าถ้าการเปลี่ยนงานเป็นไปโดยบริสุทธิ์ คือหน้าที่การงานดีขึ้น รายได้สูงขึ้น ทั้งนายจ้างและเพื่อนร่วมงาน ถึงจะเสียดายก็คงจะยินดีด้วย และไม่คิดจะขัดขวาง ที่ผมเน้นเรื่องการเปลี่ยนงาน เพราะมีเหตุผล 2 ประการ ดังนี้ หนึ่ง วัฒนธรรมตะวันออก ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น และอื่นๆ มักจะพร่ำสอนเด็กใหม่ที่เริ่มทำงาน ให้รักและซื่อสัตย์ต่อองค์กร เหมือนนักศึกษาใหม่ที่ถูกรุ่นพี่ตอกย้ำให้รักสถาบัน บางบริษัทมีการอบรมปฐมนิเทศน์พนักงานใหม่คล้ายกับพิธีรับน้องในมหาวิทยาลัย ผมเองก็เชื่อว่า ความรักองค์กรและสายสัมพันธ์ที่มีกับเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งที่ดี แต่ทั้งนี้ต้องไม่สำคัญไปกว่าการได้ทำงานที่อยากทำ ได้ทำงานที่เหมาะกับบุคคลิกและความถนัดของตน และได้งานที่ทำแล้วมีความสุข การเลือกอาชีพที่ถาวรมีส่วนเหมือนการแต่งงาน คือต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน หมดสมัยของการคลุมถุงชน ที่คนแปลกหน้า 2 คนจะต้องปรับตัวเข้าหากันโดยไม่มีทางเลือก
สอง ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเปลี่ยนงาน
คือช่วงปีแรกๆของการทำงาน
ถ้าเปลี่ยนงานหลังจากทนทำไปแล้ว 10 หรือ
20 ปี โอกาสที่จะเกิดปัญหาจะสูงกว่ามาก
เพราะในวัยกลางคน
การเรียนรู้งานใหม่จะยากกว่า และที่สำคัญ
การเข้าไปอยู่ในสังคมทำงานแห่งใหม่ในระดับกลางๆ
จะมีความเสี่ยงรอบด้าน เช่น
จะทำงานเข้าขากับผู้บังคับบัญชาใหม่และเพื่อนร่วมงานใหม่ได้หรือไม่
และจะเป็นที่ยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มใหม่หรือไม่ สถาบันศึกษาต่างๆ น่าจะพิจารณาจัดให้มีวิชาเรียนภาคบังคับ หรืออย่างน้อยก็ให้มีการอบรมสั่งสอนเกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องการเงินส่วนบุคคล ก่อนจะให้ปริญญาหรือประกาศนียบัตร ทุกวันนี้ เด็กที่กำลังจะเรียนจบมักสนใจเฉพาะเรื่องการหางาน และวัดความสำเร็จของตนว่าได้งานที่ไหน เงินเดือนเท่าไร พอมีรายได้แล้วก็เริ่มอยากมีเครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ และอยากมีรถขับ รวมทั้งอยากดื่มกินตามภัตตาคารและสถานบันเทิง เป็นต้น เมื่อเงินเดือนไม่พอใช้ ก็หมุนเวียนด้วยระบบบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลต่างๆ ที่สถาบันการเงินแข่งขันกันมาเสนอบริการให้ ผมอยากแนะนำให้มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่เพิ่งเริ่มทำงานหรือกำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน ให้ไปหาหนังสือชื่อ “ออมก่อน รวยกว่า” มาอ่าน เป็นหนังสือที่เขียนโดยคุณนวพร เรืองสกุล ผู้ก่อตั้งและเป็นเลขาธิการคนแรกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หนังสือเล่มนี้จะช่วยวางรากฐานเรื่องการวางแผนการเงินสำหรับอนาคตที่ทุกคนพึงมีตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงาน
|