เป็นเวลากว่า
20
ปีที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ
แม้แต่ในช่วงฟองสบู่ที่เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยปีละประมาณ
10%
เงินก็ไม่เฟ้อมาก
หลังฟองสบู่แตก
ค่าเงินบาทลดลงเหลือครึ่งเดียว
สินค้านำเข้าหลายอย่างแพงขึ้นมาก
แต่ตัวเลขเงินเฟ้อเฉลี่ยก็ยังต่ำได้อย่างน่าพิศวง
ถ้าจะมีคนกลุ่มใด
กลุ่มหนึ่ง
ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นหนี้บุญคุณในเรื่องค่าครองชีพมากที่สุด
คนกลุ่มนั้นก็คือเกษตรกรนั่นเอง
เกษตรกรไทยไม่ได้เก่งเฉพาะปลูกข้าว
แต่ปลูกพืช
ผัก
ผลไม้
และเลี้ยงสัตว์บก
สัตว์น้ำ
และสัตว์ปีกสาระพัดชนิด
จนทำให้ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่รายหนึ่งของโลก
มีข้อสังเกตุเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่
2 ประการ
คือ
หนึ่ง
ความสำเร็จของภาคการเกษตรเกิดขึ้นทั้งๆ
ที่เกษตรกรแทบจะไม่ได้รับความช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐ
การทุ่มเทงบประมาณเพื่อประกันราคาพืชผลที่มีอยู่เป็นประจำ
มักจะได้ผลไม่คุ้มค่า
และผลประโยชน์มักจะตกอยู่ในมือพ่อค้า
หัวคะแนน
และกลุ่มผู้สนับสนุนทางการเมือง
มากกว่าที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างทั่วถึง
อาจจะมีเพียงชาวไร่อ้อยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์อย่างจริงจัง
เพราะบังเอิญมีผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มโรงน้ำตาล
ทำให้มีอำนาจต่อรองในการสร้างกลไกกำหนดราคาน้ำตาลในประเทศ
สอง
ความสำเร็จของภาคการเกษตรเกิดขึ้น
โดยที่เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้ร่ำรวย
หรือมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น
ข้อเท็จจริงกลับตรงกันข้าม
คือเกษตรกรมีหนี้สินล้นพ้นตัวมากขึ้น
และจำนวนครัวเรือนที่สูญเสียที่ดินทำกินมีมากขึ้น
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ
ปริมาณผลผลิตที่มากขึ้น
ทำให้เกิดภาวะล้นตลาดในประเทศ
ในขณะที่ในตลาดส่งออกก็มีคู่แข่งมากขึ้น
ส่วนต่างระหว่างราคาขายกับต้นทุนที่แคบลง
ทำให้ผลกำไรโดยรวมไม่ได้สูงขึ้นตามปริมาณการผลิต
นอกจากนี้
ยังมีเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเกษตรกร
ที่บางครั้งสร้างผลกระทบอย่างรุนแรง
เช่นปัญหาไข้หวัดนกที่มีต่อการเลี้ยงไก่
และการนำเข้าผลไม้ราคาถูกจากจีนที่มีต่อชาวสวนผลไม้
เป็นต้น
เพิ่งมาในช่วง
3-4
ปีหลัง
ที่ผลิตผลเกษตรมีแนวโน้มของราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และเกษตรกรโดยเฉลี่ยมีรายได้มากขึ้น
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มากพอที่จะลบล้างภาระหนี้เดิม
ยังไม่มากพอที่จะยกความเป็นอยู่ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ยังไม่มากพอที่จะเก็บออมเพื่ออนาคต
และยังไม่มากพอที่จะลงทุนเพื่อปฏิรูประบบการผลิต
แต่อีกด้านหนึ่ง
ราคาผลิตผลเกษตรที่สูงขึ้น
ได้เริ่มมีผลกระทบต่อดัชนีค่าครองชีพ
กลุ่มที่เดือดร้อนคือคนที่อยู่ในเมืองและมนุษย์เงินเดือน
กลุ่มนี้เสียงดัง
และรัฐบาลก็เต้นตาม
ดังจะเห็นได้จากการพยายามควบคุมราคาเนื้อหมู
และราคาสินค้าอื่นๆ
เป็นอันว่าเกษตรกรถูกรัฐบีบทั้งทางตรงและทางอ้อม
ไม่ให้ขายผลผลิตได้ในราคาที่ควรได้
ทั้งๆที่ฐานะก็ยากจนกว่า
โอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมก็มีน้อยกว่า
แต่ต้องกลายเป็นหนูตัวเล็กๆที่ถูกแล่เนื้อไปปะให้ช้าง
ผมไม่มีตัวเลขอยู่ในมือ
แต่เชื่อว่ารายได้เฉลี่ยของเกษตรกรในบ้านเรา
ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายได้ประชาชาติเป็นอันมาก
ในประเทศที่เจริญแล้ว
เกษตรกรมักจะได้รับการดูแลจากรัฐเป็นอย่างดี
ไม่เฉพาะดูแลด้วยปากอย่างที่ชอบทำกันในบ้านเรา
ราคาอาหารที่คนเมืองบริโภคมักจะถูกควบคุมให้สูง
ไม่ใช่ให้ต่ำ
เช่นราคาข้าวและเนื้อสัตว์ในเกาหลีและญี่ปุ่น
ราคาผลิตภัณฑ์นมเนยในยุโรป
เป็นต้น
การจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือ
ก็มักจะจ่ายถึงมือเกษตรกรโดยตรง
ที่สำคัญคือ
รายได้ของเกษตรกรมักจะไม่แตกต่างจากค่าเฉลี่ยรายได้ประชาชาติมากนัก
ในบางประเทศเกษตรกรมีรายได้สูงกว่าอาชีพอื่นด้วยซ้ำไป
เช่นในสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันครอบครัวเกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยปีละประมาณ
9
หมื่นเหรียญ
หรือ 3
ล้านบาท
สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมทุกอาชีพประมาณ
20%
ผมอยากให้สังคมไทยมองค่าครองชีพหมวดอาหารที่สูงขึ้น
เป็นโอกาสที่จะช่วยพัฒนาและยกระดับชีวิตของคนส่วนใหญ่ของประเทศ
และช่วยลดช่องว่างระหว่างคนเมืองกับคนชนบท
มองไปข้างหน้า
ความต้องการบริโภคผลผลิตการเกษตรของโลกนี้มีแนวโน้มจะอยู่ในระดับสูง
แบบไม่มีขอบเขตจำกัด
เพราะบางอย่างจะต้องนำไปผลิตและใช้เป็นพลังงานทดแทนในปริมาณมาก
เช่นการนำเอาน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชอื่นๆ
ไปผสมหรือใช้แทนน้ำมันดีเซล
การเอาอ้อย
มันสำปะหลัง
และข้าวโพดไปผลิตแอลกอฮอลเพื่อผสมหรือใช้แทนน้ำมันเบนซีน
เป็นต้น
ประเทศเราโชคดี
ที่มีทั้งทรัพยากรน้ำและแสงแดดที่อุดมสมบูรณ์
เหมาะกับการผลิตอาหารเพื่อการบริโภคและส่งออก
ส่วนที่เหลือก็นำมาผลิตพลังงานทดแทนเพื่อประหยัดการนำเข้าน้ำมัน
รัฐบาลควรยกเลิกระบบการแทรกแซงและควบคุมราคา
ปล่อยให้กลไกตลาดทำงานโดยอิสระ
ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตรวมสูงสุด
งบประมาณที่มีควรทุ่มเทให้กับการพัฒนาแหล่งน้ำ
พัฒนาระบบการจัดเก็บ
การขนส่ง
การแปรรูป
และการตลาด
และถ้าจะช่วยเกษตรกรโดยตรง
ก็จ่ายให้ถึงมือ
จะได้ทั่วถึง
และไม่รั่วไหล
อย่าไปเสียเวลากับการควบคุมราคาหมู
หรือเก็งกำไรราคาข้าวเลยครับ
ทำให้คนที่ต้องลงทุน
ลงแรง
อาบเหงื่อต่างน้ำ
เสียความรู้สึกเปล่าๆ
|