วิกฤตซับไพร์มซึ่งได้พัฒนาเป็นวิกฤตสถาบันการเงิน
ทำให้ตลาดหุ้นทรุดทั่วโลก
เศรษฐกิจหลายประเทศถดถอย
ล่าสุดกำลังจะได้เหยื่อรายใหม่
เป็นเหยื่อระดับประเทศเสียด้วย
คือประเทศไอซ์แลนด์ ฟังชื่อแล้วไอซ์แลนด์น่าจะเป็นประเทศที่น่าสงสาร ควรจะหนาวเหน็บเพราะอยู่ใกล้ขั้วโลก แต่กลับโชคดีที่มีกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมไหลผ่าน ทำให้ทะเลมีปลาชุกชุม ทำอาชีพประมงได้เป็นล่ำเป็นสัน นอกจากนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ด้วยพลังน้ำและพลังไอน้ำ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด ปั่นไฟฟ้าจนเหลือใช้ สามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมถลุงแร่อลูมิเนียม โดยมีกำลังผลิตทั้งที่เดินเครื่องแล้วและที่อยู่ในระหว่างก่อสร้าง ปีละกว่า 1 ล้านตัน สำหรับรายได้จากภาคบริการที่สำคัญคือ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และการท่องเที่ยวเพื่อดูปลาวาฬในธรรมชาติ แต่ประเทศที่ควรจะร่ำรวยแห่งนี้มีปัญหาเรื้อรังมานานเรื่องวินัยการคลังและเรื่องเงินเฟ้อ หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศต่างๆ หันมานิยมนโยบายการคลังแบบรัดกุม ฐานะของไอซ์แลนด์ก็ดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงมาก แต่ช่วง 3-4 ปีหลัง การแข่งขันในสนามเลือกตั้งทำให้นโยบายประชานิยมหวนกลับมา นโยบายการคลังเริ่มหย่อนยานอีกครั้ง บัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น และภาระหนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนเกิดปัญหาในรอบนี้ ไอซ์แลนด์มีภาระหนี้ต่างประเทศสูงถึง 5 เท่าของจีดีพี
ธนาคารกลางของไอซ์แลนด์ใช้นโยบายดอกเบี้ยสูง
โดยให้เหตุผลว่าเพื่อต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ
แต่ผลพลอยได้ที่ไม่ได้ประกาศคือเพื่อดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาชดเชยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ภาระของไอซ์แลนด์หนักขึ้นทุกวัน พอมาเจอวิกฤตสถาบันการเงินที่ลามมาถึงยุโรป จึงโงนเงนทรงตัวไม่อยู่ สาเหตุหลักไม่ได้มาจากการขาดทุนในตราสารซับไพร์มหรือตราสารอนุพันธ์ แต่มาจากการขาดสภาพคล่อง ธนาคารหมุนเงินไม่ทันชำระคืนเจ้าหนี้และไม่พอรองรับการถอนของผู้ฝาก จนในที่สุดรัฐบาลและธนาคารกลางต้องกระโดดเข้ามาอุ้ม แต่ทุกคนก็รู้ว่าเหมือนเตี้ยอุ้มค่อม ขณะนี้ไอซ์แลนด์กำลังวิ่งหาแหล่งเงินกู้ วงเงินสว๊อปที่มีกับธนาคารกลางของเดนมาร์กและนอร์เวย์แห่งละ 200 ล้านยูโรก็เบิกมาใช้เต็มวงเงินแล้ว ล่าสุดกำลังเจรจากับรัฐบาลรัสเซียขอกู้จำนวน 4,000 ล้านยูโร แต่ก็มีข่าวลือว่ารัสเซียต่อรองขอใช้น่านน้ำและท่าเรือบางแห่งเพื่อประโยชน์ของกองทัพเรือ
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าไอซ์แลนด์หนีไม่พ้นต้องใช้บริการของไอเอ็มเอฟ
กล่าวกันว่าภายในไอเอ็มเอฟเองก็กำลังตื่นเต้นกับเรื่องนี้
หายนะของไอซ์แลนด์อาจจะกลายเป็นห่วงชูชีพที่ช่วยไอเอ็มเอฟให้รอดจากการจมน้ำ
ไอเอ็มเอฟในหลายปีหลังไม่ค่อยมีงานทำ
ยังโชคดีที่ทองคำขึ้นราคาและได้ขายทำกำไรบางส่วน
พอให้บัญชีรับจ่ายไม่ติดลบ
เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งประกาศลดอัตรากำลัง
15%
และอยู่ในระหว่างการพิจารณาข้อเสนอของหลายๆ
ฝ่ายว่าจะปรับบทบาทขององค์กรอย่างไรให้ยังคงมีความหมายต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของโลก ความจริงประเทศที่มีปัญหาการเงินหนักกว่าไอซ์แลนด์ก็มี นั่นก็คือซิมบับเว แต่บังเอิญเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่มีปัญหาภายในเรื้อรัง ทำให้ไม่มีใครอยากจะข้องแวะ และถึงจะรับมาเป็นลูกค้า ก็เป็นได้แค่ลูกค้าขนาดเล็กที่มีศักยภาพต่ำ อีกประเทศหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของไอเอ็มเอฟ และอาจจะมีโอกาสตามไอซ์แลนด์มาคือ เอสโทเนีย แต่ถ้าไม่ได้ทั้งไอซ์แลนด์และเอสโทเนียเป็นลูกค้า ก็มีคนแนะนำให้ไอเอ็มเอฟขายทองคำที่มีอยู่ทั้งหมด แล้วเอาเงินที่ได้แปลงร่างตนเองเป็นกองทุนความมั่งคั่งของโลก วิ่งไปหาโอกาสลงทุนในประเทศต่างๆ เพื่อให้เกิดกำไร และเพื่อความอยู่รอด สถาบันอีกประเภทหนึ่งที่หนีไม่พ้นต้องทบทวนบทบาทและการทำหน้าที่ของตนคือ พวกสถาบันจัดอันดับเครดิต ที่เคยให้เอ 3 ตัวและเอ 2 ตัวกับตราสารซับไพร์มและซีดีโอ ทำให้ผู้ลงทุนทั่วโลกเสียหายนับไม่ถ้วนเพราะหลงเชื่อ กรณีของไอซ์แลนด์ก็เช่นกัน เกือบทุกสถาบันให้เครดิตประเทศเป็นเอ 2 ตัว ทั้งๆ ที่ปัญหาเริ่มสะสมมาแล้วหลายปี น่าจะมีใครฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากสถาบันเหล่านี้ให้เข็ดหลาบกันเสียบ้าง
|