สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ในเครือสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์

                             ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

         

                                           Fourth of July 

                           วันประกาศอิสระภาพของอเมริกา                           

                                                                   ตอนที่ 3

                                                                                                          น.พ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

 

ความไม่แน่ใจของชาวพื้นเมืองอังกฤษ(ตอนนั้น)ในเมืองขึ้นที่อเมริกากว่าครึ่ง ที่ว่าจะไปประท้วงกับเมืองแม่คืออังกฤษ เพื่อความยุติธรรมในกรณีต่าง ๆ เช่น เรื่องภาษี โดยไม่มีผู้แทนของตัวเองในสภาที่อังกฤษ เรื่องมีทหารเสื้อแดงตั้งอยู่ในเมืองปะปนกับประชาชน เท่ากับควบคุมประชาชนไปในตัว และเรื่องไม่ยอมให้ซื้อขายสินค้ากับประเทศอื่น นอกจากประเทศอังกฤษเท่านั้น มันจะสมควรหรือ

ส่วนความคิดที่จะไปต่อสู้กับอังกฤษจนถึงแยกตัวเองเป็นประเทศต่างหาก ยิ่งไม่เคยคิดเลยในชีวิต เพราะส่วนมากก็ยังเคารพบูชาพระเจ้าแผ่นดินคือคิงค์จอร์จที่สามอยู่ และการที่จะไปแยกประเทศออกมาแล้วจะให้ใครเป็นผู้แทนในการปกครองประเทศ การไม่มีพระเจ้าแผ่นแดนย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ในโลกยังเชื่อถือการปกครองของพระเจ้าแผ่นดิน มันเป็นคำบัญชาของสวรรค์ By Divine Right

การจะแยกตัวออก ก็ต้องมีการต่อสู้นั่นคือสงคราม แล้วจะสู้ทหารอังกฤษที่เกรียงไกรทั่วโลก ดังที่พูดว่าใหญ่ขนาด พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินนั้นได้ยังไร มันเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมาก พวกที่หัวแข็งแบบรุนแรง และยืนยันจะแยกก็คือพวกอเมริกันฝ่ายเหนือ โดยเฉพาะเมืองขึ้น แมสซาชูเสตต์ เมืองอื่นก็ยังบอกให้ค่อย ๆ คิดน่า อย่ารุนแรงเลย เรื่องอาจจะลงเอยไปในทางที่ดี

มีเหตุการณ์ที่ประชาชนสนใจมากเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มาราคม 1776 มันเกิดครึ่งปีหลังจากมีการประทะกันครั้งแรกของประชาชนกับทหารที่ Lexington เมื่อวันที่ 15 เมษายน 1775 และ เหตุการณ์สู้รบของทหารอเมริกันเรียกว่า Continental Army กับอังกฤษ ที่แถวบอสตันที่เรียกว่า Battle of Bunker Hill (ดูรูป)เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 1775 การรบสองครั้งนี้ทำให้ประชาชนอกสั่นขวัญแขวนว่าเมื่อไรเราจะถูกทหารอังกฤษที่มากมายขยี้เราจนติดดินแน่

แล้วจู่ ๆ ก็เหมือนกับมีพระศรีอารย์มาโปรด ช่วยอเมริกาไว้จากความหายนะจนได้

ไม่ใช่พระศรีอารย์หรอกหรืออะไรจำพวกนั้น มันคือหนังสือออกมาตั้งขายที่เมือง ฟิลาเดลเฟีย เมื่อวันที่ 17 มกราคม 1776 หัวเรื่องเรียกว่า Common Sense มีแค่ สี่สิบเจ็ดหน้า จะเรียกว่าหนังสือก็ไม่ใช่ คงคล้าย ๆ หนังสือพิมพ์จำพวกแท๊บบลอยแฉเบื้องหลังดาราที่ตั้งขายตามตลาดในสมัยนี้อย่างนั้นแหละ แต่เล่มเล็กกว่า ราคาแค่สองชิลลิง (สมัยนั้นใช้เงินตราของอังกฤษเขา) แถมประกาศว่าหนังสือนี่เขียนโดยชาวอังกฤษแท้ ๆ เขาชื่อว่า Thomas Paine (ดูรูปล่าง) พอออกตั้งไม่ถึงสองวันก็ขายหมดต้องพิมพ์ใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย มันเป็นหนังสือที่ขายดิบขายดี ถูกนำไปขายเกือบทุกเมืองขึ้น เพราะเป็นหนังสือจำพวกปลุกใจเสือป่า อ่านแล้ว ทำให้ ผู้หญิงส่วนมากจะร้องไห้ ส่วนผู้ชายจะชูกำปั้น กระทืบพื้น พร้อมกับด่าว่า SOB  ด้วยความรักถิ่นฐานที่ตัวเองอยู่  และรู้ว่าถูกอังกฤษบังคับ ขูดรีดอย่างมหาศาล ประมาณว่าจำนวนพิมพ์กว่าครึ่งล้านฉบับ

นาย ทอมมัส เพน คนนี้ก็แสนดี เงินทองที่ขายได้ ยกให้กองทัพของฝ่ายต่อสู้ เพื่อต่อสู้กับทหารอังกฤษ เข้าใจว่านายคนนี้คงไม่มีวันได้กลับอังกฤษแหง ๆ มีหวังถูกแขวนคอสองครั้ง คือเขาจะแขวนตอนมีชีวิตอยู่หนึ่งครั้ง และตอนเป็นศพก็ยังขุดขึ้นมาแขวนอีกหนึ่งทีเมื่อครบหนึ่งปีแล้ว

นายเพนคนนี้ตอนอยู่อังกฤษมีอาชีพหลายอย่าง แต่ตอนหลังมาทำหน้าที่เก็บภาษี และอุตริไปเป็นผู้แทนให้พวกพนักงานที่ต้องการจะขอขึ้นเงินเดือน โดยผู้แทนนี่ต้องไปพูดที่สภา พูดจบเขาก็เห็นใจพนักงาน ให้เงินเดือนขึ้น แต่ไม่เห็นใจนายเพน เลยเป็นคนแรกที่เขาไล่ออกจากงาน เพราะโวหารดีนัก กลัวจะไปสมัครเป็นผู้แทนแข่งกับพวกเขา ต้องกำจัดมันก่อน ตอนที่มีงานทำก็ป๊อปปูล่า ชอบไปเข้าสมาคมปัญญาชน ชอบออกความเห็น เลยได้รู้จักกับนายเบนจามินของเรา ซึ่งชอบไปสมาคมพวกนี้เหมือนกัน

พอตกงานนายเบนจามิน เลยแนะนำให้ไปเสี่ยงโชคที่อเมริกาดู เพราะตัวคนเดียวไม่มีลูกเมีย ลุงเบนแกใจดี ว่าจะหาเมียให้ตอนมาอเมริกา พอมาถึงอเมริกากำลังแอ๊ปไพลกรีนก๊าดอยู่ ก็มาทำงานเป็นคนเขียนหนังสือพิมพ์ (สมัยนั้นมาทำงานอเมริกาไม่ต้องมีกรีนการ์ดก็ได้) ก็เพราะเขาเห็นความไม่ยุติธรรมของสังคม ไม่ว่าอังกฤษหรืออเมริกา (รู้มากมักจะตกงาน) เลยมีเรื่องจู้จี้หัวใจมากมายมา เขียนระบายอารมณ์ของตัวเองก็มี มีหลายเรื่องที่ซึ้งใจคนอ่านมาก เลยมีคนติดใจในบทความของเขามาก ๆ เลยได้เงินใช้พอสมควร (นายนี่โชคดี ไม่ต้องเริ่มจากอาชีพล้างชามและถูพื้นขัดส้วมในอเมริกา เหมือนเพื่อน ๆ ของผม)

ส่วนหนังสือ Common Sense เล่มนี้ พอเปิดหน้าหนึ่ง เขาก็เปิดฉากฉะถึงเรื่องของรัฐบาลของอังกฤษ  เขาชี้แจงว่าเหตุผลที่เมืองขึ้นอเมริกาไม่สามารถจะเจริญได้ เพราะต้องไปทำตามคำสั่งของรัฐบาลอังกฤษ ทั้ง ๆ ไม่เกิดผลประโยชน์ และสร้างศัตรูให้แก่เมืองขึ้นแก่อเมริกามากขึ้น เช่นไม่สามารถขยายชายแดนออกไป เพราะอังกฤษไปเซ็นสัญญากับฝรั่งเศส ไม่ให้คนอเมริกันมีสิทธิ์หาที่ทำกินใหม่ สินค้าที่มีอยู่แทนที่จะขายได้ราคาดีกว่ากับประเทศอื่น แต่ก็ถูกบังคับให้ซื้อขายแต่อังกฤษเท่านั้น เช่นฝ้าย cotton ต้นอ้อย ใบยาสูบ ข้าวสาลี ต้นซุงพัน ๆ ปี  เมื่อต้องขายแก่อังกฤษเท่านั้น เราก็ได้ขายแต่วัตถุดิบราคาถูก แล้วอังกฤษก็แปรรูปกลับมาขายให้เราเช่นเสื้อผ้า เรือ เครื่องมือทำนา อาวุธ น้ำตาล และอีกมากมายที่ราคาแพงกว่าเป็นร้อย ๆเท่า เราต้องเสียเงินมากมายไปซื้อเขากลับมา แทนที่เราจะได้ตั้งโรงงานทำของเราเองก็จะถูกลง แล้วก็อาจขายแก่ประเทศอื่นได้ด้วย 

แล้วที่ส่งทหารอังกฤษมาอยู่อเมริกา ก็เพียงเพื่อป้องกันผลประโยชน์ของอังกฤษเอง ในเรื่องดินแดน คือทางคานาดาทางเหนือที่ยึดมาจากฝรั่งเศส และเป็นจุดยุทธศาสตร์ของเขาในน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เราต้องกลายเป็นศัตรูกับประเทศอื่น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นความต้องการของเรา  และกันไม่ให้เราได้ติดต่อกับประเทศอื่น เพื่อซื้อขายสินค้าจากประเทศเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้เราได้กำไรและเจริญมากขึ้นในหลาย ๆ ด้าน  นอกนี้เรายังจะต้องถูกบังคับให้จ่ายภาษีเพื่อผลประโยชน์ของอังกฤษเองแท้ ๆ เพื่อเอาไปขยายอำนาจและดินแดนโดยการทำสงครามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ส่วนสถาบันกษัตริย์นั้น นาย Paine เขาบอกว่ามันเป็นความเชื่อถือของประชาชนที่โง่ ๆ ว่าเราจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีกษัตริย์มาปกครอง หารู้ไม่ว่ามันเป็นความร่วมมือกันของพระทางศาสนากับสถาบันกษัตริย์ โดยข้ออ้างว่ามันเป็นคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เป็น Divine Right หรือ Mandate from Heaven เพื่อควบคุมประชาชนให้อยู่ในกฎในเกณฑ์ที่เขาตั้งขึ้นมาเอง เพื่อประโยชน์ของพวกเขา แล้วก็อ้างว่าเพื่อความสงบสุขของพวกเรา ทั้ง ๆ ที่การกระทำไม่ได้บอกถึงความกรุณาหรือผลประโยชน์ของพวกประชาชนเรา เหมือนของผู้ปกครองที่ดีเลย เพียงแต่ไปบำรุงความสุข และความร่ำรวยของราชวงศ์เท่านั้น

วงศ์กษัตริย์เดิมของอังกฤษก็มาจากพวกนักปล้นฆ่าข่มขืนชาวฝรั่งเศสที่ข้ามฝั่งจากแคว้นนอร์มังดี คือพระเจ้า William the Conqueror เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อไวกิ้งแท้ ๆ โดยได้ฆ่าฟันคนอังกฤษมากมาย กว่าจะตั้งตัวเป็นกษัตริย์ของอังกฤษ ก็เพื่ออำนาจและทรัพย์สินของเขา เขาไม่ได้ทำอะไรดีขึ้นสำหรับชาวอังกฤษ แล้วถ้าใครฆ่าฟันชาวอังกฤษได้ และยึดพื้นที่มาให้กษัตริย์ ก็จะได้รับรางวัลในการทำความเลวจำพวกนี้ โดยพระราชทานให้ได้เป็นฐานันดร กินที่ดิน เรียกว่า Lord แถมกินเงินปีทั้งชาติ และสืบตระกูลได้ด้วย ส่วนชาวอังกฤษแท้ก็กลับกลายเป็นทาสติดที่ดิน Serf ยิ่งตลกกว่านั้น กษัตริย์อังกฤษบางองค์ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีกด้วย ต้องเรียกว่ากษัตริย์พวกนี้เขามากินเมือง ไม่ได้มาปกครองเมือง

ทุกครั้งที่พระมหากษัตริย์เกิดความมักใหญ่ใฝ่สูง อยากขยายดินแดนของตน เพื่ออำนาจวาสนาของตน ก็ประกาศสงคราม คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานในสงครามทุกครั้งก็คือเราผู้เป็นประชาชน ต้องไปเป็นทหาร จะชนะหรือแพ้ เราก็ต้องมีทุกข์ตลอดเวลา ถ้ามีชัยชนะใครเล่าที่ได้ผลประโยชน์ ประชาชนไม่มีส่วนฉลองมีความสุขร่วมด้วย ถ้าแพ้สงคราม ความทุกข์ของเราก็ยิ่งทวีคูณ

เมื่อพวกเราได้ประท้วงเพียงขอความเป็นธรรม  กษัตริย์อังกฤษถึงกับได้ส่งทหารเยอรมันรับจ้างจาก เมือง Hessian ซึ่งมีชื่อว่ามีความโหดร้ายชั่วช้ามาปราบเราชาวอเมริกันอีกด้วย ซึ่งถือว่าพวกเราเป็นชาติศัตรูต้องถูกเข่นฆ่าอย่างไม่ปราณีกัน จงดูถึงความเหี้ยมโหดของกษัตริย์จอร์จที่สาม ที่ครั้งหนึ่งเราเคยเคารพนับถือเหมือนผู้ปกครองของเรา และบัดนี้คิงจอร์จนี้ก็บ้า ๆ บอๆ เป็นระยะ ๆ เพราะเป็นโรคที่เรียกว่าว่า Porphyria ซึ่งเป็นโรคกรรมพันธุ์ และทำให้สมองเปลี่ยนแปลงได้

การคิดจะอยู่เป็นเมืองขึ้นต่อไป แม้คิดว่าจะเจรจากับอังกฤษได้ผลตอนนี้ ปัญหาก็ยังจะมีอีกต่อ ๆไป ก็เหมือนเนื้อร้าย อาจจะทายาหม่องชั่วคราว แก้เจ็บปวด แล้ววันหนึ่งเนื้อร้ายนั้นก็จะกินตัวเราจนตายไป(หมอเขาเปรียบเทียบอย่างนั้นแหละครับ) ดังนั้นจึงขอให้ชาวอเมริกันร่วมมือร่วมใจโดยการแยกตัวออกจากอังกฤษเสีย

          เขาชี้แจงถึงผลประโยชน์ของการแยกตัวจากอังกฤษนั้นคือ 1. ตราบใดที่อเมริกาเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ การจะไปขอความช่วยเหลือจากชาติอื่นย่อมไม่ได้ผล 2. การที่จะให้ประเทศสเปนหรือฝรั่งเศสซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่เหมือนกันส่งความช่วยเหลือเราทั้ง ๆ ที่เรายังเป็นเมืองขึ้นเขาอยู่ ก็จะตกไปอยู่ในมือของอังกฤษก็เท่าไปเสริมสร้างอานุภาพให้อังกฤษเท่านั้น 3. ถ้าอเมริกาไม่ประกาศจะแยกตัวอย่างเด็ดขาดในตอนนี้ ในสายตาคนอื่นก็จะเห็นเราเป็นแค่กบฎขี้ข้า อย่างไม่มีศักดิ์ศรี ยามถูกอังกฤษปราบปราม ชาติอื่นก็คงจะนิ่งเฉย ช่วยเราไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องภายในของอังกฤษเขา 4. ถ้าอเมริกาจะประกาศอิสระภาพ แล้วส่งคำประกาศไปทุกประเทศ เมื่อเกิดปะทะกับอังกฤษ ประเทศที่เป็นศัตรูของอังกฤษก็อาจจะส่งความช่วยเหลือเราได้ โดยถือว่าเราเป็นประเทศอิสระที่ถูกอังกฤษรุกราน

         ด้วยเหตุและผล ทั้งประโยชน์และศักดิ์ศรีของพวกเราเมืองขึ้นทั้งหลาย จึงขอให้ทุกคนสนับสนุน Rights of Mankind และให้เกิด Free and Independent States of America โดยแยกตัวจากอังกฤษ และนาย Thomas Paine ก็แนะให้ประเทศใหม่นี้ควรใช้ชื่อว่า United States of America เพราะแต่ละเมืองขึ้นก็จะกลายเป็น State ของตัวเอง

ด้วยหนังสือที่ปลุกใจฉบับนี้ที่อ่านกันแพร่หลายไปทุกรัฐ ทำให้คนที่ยังฝังใจในประเทศอังกฤษหรือคนที่ยังลังเล ก็ได้ตัดสินใจเพื่อแยกประเทศออกจากอังกฤษ พวกที่อยากจะแยกก็เริ่มการรณรงค์ ส่วนคนที่ไม่แน่ใจก็เปลี่ยนใจขอเข้าข้างด้วย ส่วนคนที่ยังรักประเทศแม่อยู่ก็เตรียมตัวย้ายถิ่นฐาน เช่นที่เมืองขึ้นนิวยอร์ค หรืออยู่อย่างเงียบ คงกลัวคนเขาจะประชาทัณฑ์เอา ประชาชนในทุกเมืองขึ้นได้ผลักดันให้ผู้แทนของตัวเองที่ฟิลาเดลเฟียคะแนนเสียงขอแยกตัวออกจากอังกฤษ จนถึงการลงสัตยาบันและประกาศอิสระภาพในวันที่ July 4th 1776 ก็เป็นอันสำเร็จ เงินทองที่จะช่วยกองทัพจากประชาชนก็ไหลมาเทมาเหมือนเงินกองทุนช่วยชาติของพระมหาบัว และคนหนุ่มที่มีใจรักชาติใหม่ก็เข้าสมัครเป็นทหารกันมาก นับเป็นกองทัพได้

         นี่คือการชวนเชื่อที่สามารถเปลี่ยนจิตใจของคนอเมริกาสมัยนั้นให้แยกตัวออกจากยักษ์ใหญ่อังกฤษโดยหนังสือที่ชื่อว่า Common Sense โดย นาย Thomas Paine ซึ่งได้รับยกย่องในกาลต่อมาว่าเป็นผู้ก่อตั้งประเทศอเมริกาคนหนึ่ง Founding Father

          หนังสือเล่มนี้ได้ถูกแปลเป็นหลายภาษา เป็นชนวนชวนเชื่อให้หลายประเทศเกิดการปฏิวัติ เช่นฝรั่งเศส รัสเชีย และจีน และที่สำคัญที่สุดคือประเทศแถวอเมริกาใต้ในระยะหลัง ๆ โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส มีคนอ่านมาก ชาวฝรั่งเศสนั้นได้ก่อการปฏิวัติในปี 1789 แล้วล้มล้างกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 ที่เคยช่วยเหลืออเมริกาอย่างมากตอนปฏิวัติ และถูกตัดหัวในสี่ปีต่อมา ไม่น่าเลยที่ไปช่วยให้เกิดประเทศอเมริกาขึ้น เป็นประเทศตัวอย่างที่ให้ชาวโลกเห็น ว่าสามารถปกครองตัวเอง โดยไม่ต้องมีกษัตริย์ก็ได้ (เรียกว่าซวยกะลุดม้อ)

 

            กลับไป ตอนที่ 2                                                                                         อ่านต่อ ตอนที่ 4          

          

หมายเหตุ : ลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของบทความนี้ เป็นของผู้เขียนบทความแต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ สามารถติดต่อได้ที่ info@cualumni.us             

                                                       

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2007 Chulalongkorn University Alumni Association of California