Blood and Iron

 

                                                                                                                                                  นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

  

คำประกาสิทธิ์ข้างต้นนี้ เป็นของนายกรัฐมนตรี แห่งสาธารณรัฐแห่งเยอรมันนี Confederation of Germany ชื่อ Count Otto von Bismarck คนนี้ถ้าเรียนประวัติศาสตร์โลกมาบ้างก็คงต้องรู้จัก

สมัยดั้งเดิม เยอรมันนีเป็น รัฐเล็ก ๆ หลาย ๆ รัฐ ต่างคนต่างปกครอง ไม่ขึ้นแก่กัน แล้วในกลางศตวรรษ เกิดมีรัฐที่แข็งแรงเกิดขึ้นคือชื่อรัฐ Prussia ปรัสเซีย มีกษัตริย์ชื่อ William 1 มีนายกรัฐมนตรีคนชื่อ บิสมาร์คนี้แหละ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถ และมองการณ์ไกล ว่าถ้าแต่ละรัฐ ที่มีเชื้อเป็นชาว Germanic เหมือนกัน ยังต่างคนต่างอยู่ เมื่อประเทศศัตรูที่แข็งแรงที่อยู่รอบด้าน คิดอยากจะรุกรานรัฐไหน ก็จะทำได้ง่ายดาย เพราะแต่ละรัฐขาดทั้งกำลังพล และทรัพย์พยากรพอที่จะไปสู้รบกับเขาได้

เรื่องถูกเขากระทืบนั้นมันเกิดขึ้นแล้วในสมัยสงครามสามสิบปีทางศาสนา ระหว่างประเทศฝ่ายนับถือคาธอลิคกับโปรเตสตันต์   ประเทศใหญ่ที่ทำสงครามกันเมื่อผ่านมาแถบดินแดนแถวนี้ก็ยึดเอาเป็นเมืองขึ้น ฆ่าฟันพลเมืองเป็นเบี้ย ยึดทรัพย์สินขนจนเกลี้ยง เป็นที่น่าอเนจอนาจ แล้วต่อมา ก็ในสมัยพระเจ้านโปเลียนเรืองอำนาจ ก็ยึดเอาประเทศแถวนี้เป็นเมืองขึ้นอีก

เมื่อพระเจ้าWillian1 ขึ้นครองราชย์ก็ได้นายกรัฐมนตรี von Bismarck คนเก่งคนนี้ และนายทหารที่เก่งกล้าและฉลาดชื่อ นายพล von Motke ซึ่งทั้งสองต่างก็มีความเห็นตรงกันว่า รัฐเยอรมันนีต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องรวมกัน ภายใต้การนำของปรัสเซียเพื่อให้เป็นประเทศเยอรมันนีเดียวเท่านั้น

รัฐปรัสเซียนี้เป็นรัฐที่มีอำนาจมาก มีกองพลทหารประจำการ อยู่เกือบครึ่งล้าน และทหาร สำรองอีกหนึ่งล้าน

แผนการที่จะรวมเยอรมัน ประเทศแรกที่ควรจะรวมก่อนก็คือประเทศ Austria ซึ่งก็เป็นเชื้อชาติเดียวกัน แต่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่มานานแล้ว แต่มาอ่อนแอลงในตอนหลัง  แล้วจะรวมได้ ก็ต้องรวมด้วย Blood & Iron (เลือดและดาบ)  นั่นคือสงครามเท่านั้น ด้วยความตั้ง ก็ได้วางแผนตามระบบสงครามแบบใหม่ คือสร้างความ เจริญในการขนส่งที่รวดเร็ว ก็คือสร้างทางรถไฟเตรียมไว้ขนส่งทหารและเสบียงเป็นระยะทางที่ยาวและซับซ้อนและแผ่ออกทางทิศทาง การสื่อสารด้วยโทละพิมพ์ Telegraph ที่สามารถติดต่อกับหน่วยทหารได้รวดแร็วและสะดวก การสอดแนมตามประเทศต่าง ๆ ที่กว้างขวาง มีสายลับไปประจำทุกหัวเมืองและล้างสมองชาวบ้านให้เชื่อในแผนรวมชาติครั้งนี้  มีพัฒนาการสร้างอาวุธ สร้างปืนใหญ่ที่มีอำนาจยิงได้รุนแรง ทั้งไกลและเร็ว และอำนาจของดินปืน และด้วยสารระเบิด TNT ที่มีอำนาจการทำลายสูงมาก

สงครามที่ใช้ระบบการรบแบบใหม่นี้ เริ่มทดลองกับประเทศเดนมาร์ค  ในปี 1864 เพียงแค่สองอาทิตย์ก็ตีกองทัพเดนมาร์คแตก แล้วในปี 1866 ก็เข้าโจมตีประเทศออสเตรีย ซึ่งชื่อว่ามีกองทัพที่เกรียงไกร แต่ล้าสมัย ด้วยอาวุธและแผนการรบที่ล้าสมัย ซึ่งนำโดยนายพลแก่ ๆ ก็ต้องแพ้แก่กองทัพของปรัสเซีย ที่สามารถเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วแบบสายฟ้าแลบ

ด้วยผลของการรบที่ชนะแก่ประเทศทั้งสอง ก็สร้างความเชื่อถือแก่รัฐเยอรมันนีเล็ก ๆ ต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมรวมกันอยู่ดี

          รัฐชาวเยอรมันต่าง ๆ เหล่านี้ต่างก็เป็นขมิ้นกับปูน กับประเทศฝรั่งเศส มาแต่ไหนแตไร คือทั้งเกลียดทั้งกลัว แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะเขาทั้งใหญ่และรวย นี่แหละคือหนามยอกอก ของรัฐเยอรมันต่าง ๆ แล้วนายบิสมาร์คก็ถือเอาความแค้นที่ร่วมกันนี้ เป็นจุดที่จะรวมประเทศให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประเทศฝรั่งเศส ตัวแสบร่วมกันของรัฐเยอรมันนีต่าง ๆ แต่สมัยไหนแล้ว ก็คงต้องเจอกันคราวนี้กันละ แต่เป็นหมาหมู่ที่ร่วมน้ำใจกัน เมื่อบิสมาร์คประกาศคำท้าทายต่อประเทศคู่แค้นนี้

รัฐเยอรมันเล็ก ๆ เหล่านี้ ก็เลยต้องกระโจนเข้าร่วมด้วย จะอยู่เดียวดายอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะถ้าเกิดรัฐปรัสเซียแพ้ขึ้นมา รัฐต่าง ๆ รอบ ๆ ก็จะถูกฝรั่งเศสรุกรานไปด้วย นี่แหละคือการรวมประเทศด้วย Blood & Iron เลือดเนื้อและปืน ด้วยแผนรบที่รวดเร็วและทันสมัย รวมทั้งทหารที่เชี่ยวชาญ ผ่านการรบมาแล้ว อีกทั้งประเทศฝรั่งเศสก็ยังไม่หายจากโรคเก่าของความเย่อหยิ่ง ที่ไม่เห็นสาธารณะรัฐเยอรมันอยู่ในสายตา

รวมทั้งไม่เคยคิดจะปรับปรุงกองทัพ คิดว่าแค่นี้ก็เก่งที่สุดในยุโรปแล้ว ภายในสี่เดือน ด้วยยุทธการอันทันสมัย ประเทศฝรั่งเศสก็ประกาศยอมแพ้ แก่ประเทศเยอรมันนี

ประเทศใหม่ที่รวมรัฐเล็กรัฐน้อย เรียกว่า Germany Confederation ก็ได้รวมตัวกันเป็นประเทศเยอรมันในครั้งนี้เอง ภายใต้กษัติย์ William 1 the Emperor of Germany และการนำของ Otto von Bismarck  เมื่อปี 1871 การรวมตัวเป็นประเทศมหาอำนาจของเยอรมันนี้ ก็คือความหายนะที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง เนื่องจากความกระหายในการเสาะหาอำนาจและดินแดนของเยอรมันนีอย่างไม่สิ้นสุด ความวิบัติที่เกิดจากสงครามโลกทั้งสองครั้งนี้คงประมาณกันไม่ได้

       ด้วยคำประกาสิทธิ์ของ Blood & Iron เดียวกันนี้ ทำให้ประวัติศาสตร์ของโลกต้องเปลี่ยนแปลงไปมาก ครานี้คงต้องแปลว่า เลือดและเหล็ก โฉมหน้าของโลกอาจจะเป็นอีกรูปหนึ่ง ต่างจากที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้

เมื่อชาวยุโรปบุกรุกเอาทวีปอเมริกาทั้งเหนือและใต้เป็นประเทศทาส Colonies แล้ว ประเทศนายทาษก็ได้แต่คิดกอบโกยเอาทรัพายากรจากทวีปนี้ให้มากที่สุด การขุดหาทองคำ หาแร่เงินที่พบหลายแห่ง ไม้ป่าที่แข็งแรง หนังสัตว์ที่มากมาย ซึ่งต้องใช้แรงงานมนุษย์ ก็ต้องจับชาวอินเดียนแดงเดิมนั้น และบังคับให้ เป็นแรงงานแบบทาษ เป็นแรงงานขนส่ง ขุดหาแร่ธาตุ การตัดต้นไม้ ต่อเรือ แล้วต่อมาเมื่อต้องการพืชผล ก็มีการปลูกไร่สวน เช่นต้นมัน ต้นอ้อย และต้นฝ้าย และต้นยาสูบ

การบังคับคนอินเดียนแดงนั้นทารุณมาก มีระบบการลงโทษด้วยการทรมานอย่างรุนแรง ถ้าหลบหรือหนีก็ถูกฆ่าตายท่าเดียว เมื่อชาวยุโรปบุกรุกเข้ามาที่ทวีปอเมริกานี้ก็นำเอาโรคต่าง ๆ เข้ามาด้วย ที่ร้ายที่สุดก็พวกฝีดาษ โรคอีดำอีแดง Measles แม้กระทั่งอีสุกอีไส Chicken Pox ซึ่งได้คร่าชีวิตชาวอินเดียแดงไปมากมายในระยะแรก ๆ และที่ทำลายเผ่าพันธุ์ของชาวดินเดียนแดงอย่างช้า ๆ ก็คือโรคมาเลเลีย Malaria

ด้วยทวีปอเมริกาเดิมไม่มีเชื้อโรคมาลาเรีย มันมากับคนที่ไปเป็นโรคนี้แล้วไปตายที่อเมริกาทีหลัง หรือชาวยุโรปที่เป็นโรคนี้แล้ว หายจากอาการ แต่ในเลือดก็ยังมีเชื้อนี้อยู่ ก็นำเชื้อนี้ไปให้ยุงในถิ่นนั้นเป็นการ เพราะเชื้อต่อไป จนลามไปทั่วทวีปอเมริกาทางเหนือและใต้ เมื่อคนงานอินเดียนแดงที่ต้องทำงานในไร่ โดนยุงที่มีเชื้อพวกนี้กัด ก็ตายจากมาลาเรีย จนบางเผ่าหายสาปศูนย์ไปเพราะโรคนี้

                                                                                           เมื่ออินเดียนแดงตายจนเหลือน้อยลง หรือป่วยจนเลือดหมด Anemia  จนไม่อาจทำงานได้อีกต่อไป ก็มีชาวปอร์ตุเกส หัวใส แต่ใจชั่วพวกที่เคยจับชาวอาฟริกาไปเป็นทาษที่ยุโรปมาก่อน ก็เริ่มทำการจับชาวอาฟริกา มาขายเป็นทาษ โดยให้ชาวอาหรับอิสลามเป็นคนไปล่าจับมาแถวหมู่บ้านลึก ๆ  ปรากฏว่าชาวอาฟริกาที่มาเป็นทาษแรงงานที่ทวีปอเมริกานี้ ทนต่อโรคที่มาจากยุโรป และที่สำคัญคือโรคมาเลเรีย ต้องเรียกว่า โรคของโลกเก่า   

โชคดี(หรือโชคร้ายเสียมากกว่า) ที่ชาวอาฟริกาไม่เป็นโรคมาเลเลียได้ง่าย (คือตายยาก) และโรคอื่น  ๆ ที่มาจากดลกเก่าก็ไม่ทำให้ตายง่ายเหมือนชาวอินเดียนแดง ที่ทำให้ชาวอัฟริกาทนต่อมาเลเรีย ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขามีเลือดพิเศษ มันเป็นโรคขาดเลือด Anemia ชนิดหนึ่ง เรียกว่า Sickle Anemia

Blood เลือด เป็นน้ำเหลวในร่างกาย สำหรับลำเลียงอาหาร อ๊อกซีเจ้น ฮอร์โมนและธาตุทุกอย่างสำหรับร่างกายไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ แล้วนำเอาคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ของที่ร่างกายไม่ใช้แล้ว ของพิษต่าง ๆ ให้เอาไปทำลายแล้วกำจัดออกจากร่างกาย

ในเลือดไม่ใช่เป็นแค่น้ำอย่างเดียว แต่มีเซลล์ต่าง ๆ และสารที่ผลิดจากเซลล์ เป็นส่วนประกอบด้วย เซลล์พวกนี้ก็แบ่งเป็นเม็ดเลือดขาว และแดง แต่ที่สำคัญในเรื่องนี้คือเลือดแดง Red blood cells เป็นเซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียส ที่เม็ดเลือดเป็นสีแดงก็เพราะ Hemoglobin ฮีโมโกลบิน มันเป็นโมเลกูลที่ประกอบด้วย Heme ฮีม ซึ่งเป็นโมเลกูลตัวหนึ่ง มีตัวธาตุเหล็ก Iron ตัวที่เรียกว่า Ferrous (Fe++) เกาะอยู่ตรงกลาง  ตัวเหล็ก Fe++ นี้แหละเป็นตัวคอยให้ O2 อ๊อกซีเจ่น มาเกาะ ตัวฮีมนี้มันไปไหนมาไหนไม่ไหนไม่ได้ ต้องอาศัยพาหนะนำไป ก็คือ Globin สี่ตัว พอรวมทั้งหมด เลยเรียกว่า Hemoglobin รวมเข้าไปในเม็ดเลือดแดงนั่นคือ Blood & Iron โดยเลือด จะต้องมี เหล็กอยู่ ซึ่งเป็นตัวนำเอาอ๊อกซีเจ็นไปเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน จึงทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้

ความผิดปรกติของโรคขาดเลือด ซิคเคิลนี้เกิดจากโกลบิน ซึ่งแบ่งเป็นสองอย่าง คือ แอลฟา และเบต้าโกลบิน ตัวที่ทำให้เป็นโรคนี้อยู่ที่ เบต้า โกลบิน โดยโมเลกูลของมันตัวหนึ่งซึ่งเป็น Glutamate ถูกแทนที่ด้วย Valine ที่เกิดอย่างนี้ขึ้นก็ด้วยกรรมพันธุ์นั่นแหละ คนไข้ที่เป็นโรค Sickle cell anemia พบว่ามีมีเม็ดเลือดน้อย แถมผิดปรกติด้วย เลยทำให้มีธาตุเหล็กในเม็ดเลือดแดงน้อย

โรคขาดเลือดของชาวอาฟริกาเป็นกรรมพันธุ์ที่เรียกว่า Sickle cell anemia โดยเม็ดเลือดแดงที่เห็นในกล้องขยาย ปรกติจะเป็นรูปกลม ๆ คล้าย ๆ โดนัต แต่คนที่เป็นโรคนี้เม็ดเลือดจะเป็นรูปเคียว Sickle ผนังที่หุ้มเซลล์มันเปราะ แตกได้ง่าย แถมสารสีแดง ฮีโมโกลบิน Hemo-globin ยังไม่ละลายทั่วถึงในเม็ดเลือด Corpuscle เมื่อเม็ดเลือดสีแดง เหล่านี้พอมาถึงปลายทาง จะต้องเบียดตัวผ่านเส้นเลือดที่เล็กมากเพื่อนำเอาอ๊อกซีเจ้นไปให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ ก็จะผ่านลำบาก บางครั้งแถมแตกเพราะความเปราะของผนัง ยังทำให้รูเส้นเลือดตันไปด้วย

เมื่อเม็ดเลือดแดงมาไม่ถึง เยื่อที่ควรจะได้รับอ๊อกซีเจ้นก็ขาดเลือด แถมบางครั้ง เมื่อเกิดโรคติดเชื้อ ขึ้นเครื่องบิน ขาดอ๊อกซีเจน ขาดน้ำ จะทำให้เม็ดเลือดแตกมากขึ้นอีก ทำให้เกิดความเจ็บปวดมาก เช่นปวดท้อง ตามข้อหรือกล้ามเนื้อ เขาเรียกว่า sickling crisis  อาจเพราะเม็ดเลือดพวกนี้บรรจุอ๊อกซีเจ้นน้อยละมั่ง เชื้อมาเลเรียเลยไม่ชอบ เลยทำให้คนไข้พวกนี้รอดพ้นจากโรคนี้ได้

ในชาวเอเซียก็มีโรคคล้าย ๆ กัน แต่เป็นอีกแบบหนึ่ง คือเม็ดเลือดจะกลมเล็ก ทำให้มีฮีโมโกลบินน้อยผิดปรกติ เรียกว่าโรค Thalassemia alpha ทาลัสสีเมีย แอลฟ่า และพวกฝรั่งที่อยู่รอบ ๆ ทะเลเมดิเตอเรเนียน ก็เป็นคล้าย ๆ กับพวกเราแต่เรียกว่า Mediterranean Anemia

       การเกิดความผิดปรกติของเม็ดเลือดพวกนี้ ก็เพื่อป้องการเชื้อโรคจากมาเลเรีย Plasmodium ยุงที่แพร่เชื้อพวกนี้มีชื่อว่า Anopheles และต้องเป็นตัวเมียเสียด้วย ก็เพราะเราอยู่กับเชื้อมาเลเรียมานาน และตายเสียก็มาก ร่างกายก็เลยสร้างการป้องกันขึ้นมา ในรูปผิดปรกติของเม็ดเลือดที่เชื้อมาเลเรียไม่ชอบ การเป็นโรคขาดเลือด ก็ทำให้ขาดเลือดและธาตุเหล็กในตัวคนไข้ ถ้าเป็นน้อยก็อาจให้ธาตุเหล็ก ถ้าเป็นมากก็ต้องให้เลือดกันละ 

การที่ชาวอินเดียนแดงตายจากเชื้อมาเลเรียได้ง่ายเพราะในอเมริกาไม่เคยมีมาเลเรียมาก่อน ถึงไม่มีเชื้อป้องกันในเลือดเลย เมื่อชาวยุโรปนำเอาเชื้อมาเลเรียมาแพร่ในอเมริกา ชาวอินเดียนแดงก็เลยตายกันเป็นเบี้ยเลย

เมื่อต้องทำไร่ อ้อย ไร่ผ่าย ไร่กาแฟ ตอนหลังก็ไร่ยาสูบ เมื่อชาวอินเดียนแดงทำไม่ได้  ก็นำเอาคนผิวดำเข้ามาแทนที่ เพราะทนต่อโรค คนดำก็เลยขยายพันธุ์จนบางเกาะกลายเป็นเกาะคนดำไปทั้งเกาะเช่น ไฮติ เกาะกัวลาเซา และเกาะอีกมากมายในทะเลคาริบเบี้ยน และกระจายไปทุกประเทศในทวีปอเมรกา คงถือว่าถ้าประเทศไหนไม่มีคนดำอยู่คงเชยมาก

เมื่อหลังโคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา สเปญในระยะแรกก็ร่ำรวยเพราะทองและแร่เงิน ก็เป็นมหาอำนาจทางยุโรป  แล้วทางกรุงวาติกันก็ได้แต่งตั้งกษัตริย์ให้เป็นถึง มหาจักรพรรดิ Holy Roman emperor และมีพระบัญชาของโป๊ป ให้ยกดินแดนเมืองขึ้นทางด้านตะวันออกทั้งหมดของมหาสุมทร แอตแลนติคเป็นเมืองขึ้นของสเปญ ส่วนโปตุเกสนั้นก็ร่ำรวยเพราะได้ครองดินแดนทางแถบเอเซีย ก็ปกครองด้านตะวันออก คือว่า ทั้งโลกจะถูกแบ่งออกเป็นสองข้าง ทางตะวันออกเป็นของปอตุเกส ทางตะวันตกเป็นของสเปญ

          แล้วทำไมบราซิลถึงเป็นของปอร์ตุเกศเล่าครับ ก็เพราะว่าดินแดนของบราซิลนั้นมันยื่นเลยเส้นแบ่งแบ่งครึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติค ก็ต้องยกให้ปอร์ตุเกสไป ง่ายนิดเดียว

ตอนหลัง เมื่ออังกฤษขึ้นมาทดแทนอำนาจของสเปญ และฮอลันดามาทดแทนอำนาจของปอตุเกส ด้วยอำนาจของเรือรที่เหนือกว่าทางทะเล

ประเทศอังกฤษได้รุ่งเรืองขึ้นมาก เมื่อมีวัตถุดิบที่ป้อนจากแรงงานของทาษทางอเมริกาที่ราคาถูกมาก ก็ทำให้อังกฤษเกิดความเจริญทางอุตสาหกรรม เพราะประเทศตัวเองมีถ่านหินอยู่มาก ก็มีการผลิตเครื่องจักรขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือ เครื่องจักรไอน้ำ มาขับเคลื่อนเครื่องจักร ทดแทนกังหันน้ำ ทำให้ระยะนั้นเป็นการเริ่มต้นของอุตสาหกรรมทอผ้า และเครื่องแหล็ก ทำให้เกิดอุตสาหกรรมหนักขึ้น เช่นโรงงานหล่อเหล็ก ทำเหล็กกล้า สร้างรถไฟ วางทางรถไฟ ทำรถไฟไอน้ำ จำต้องใช้แรงงานจากชนบทมากมาย ได้เข้ามาอยู่กันแออัดในเมืองอุตสาหกรรมต่าง ๆ เลยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมาก ระยะนั้นเลยเรียก Industrial Revolution การปฏิวัติทางอุตสาหกรรม เมื่อผลิตผลที่ได้ ต้องนำไปขายให้ประเทศอื่น โดยเฉพาะทางด้าน ประเทศทางตะวันออก ก็ต้องหาทางเดินเรือให้เร็วขึ้นและให้ระยะทางสั้นลง ก็ได้ขุดคลองสุเอซขึ้น ไม่ต้องไปอ้อมทางปลายแหลมกู๊ดโฮปของอาฟริกาใต้ ซึ่งเป็นระยะทางไกล และอันตราย

 เพื่อไม่ให้ต้องพึ่งพาแต่ลมอย่างเดียวในการเดินเรือ ก็เอาเครื่องจักรไอน้ำ ทำการขับเคลื่อนกังหันแทนผ้าใบเรือ กลายเป็นเรือกลไฟไปในที่สุด ทำให้ การติดต่อระหว่างประเทศ(หรือล่าเมืองขึ้น และปล้นทรัพพยากรของพวกเมืองขึ้นได้เร็ว และมากขึ้น) แน่นอนการสร้างอาวุธยุทโธประกรก็ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพดีขึ้นด้วย ทำให้การรบพุ่งได้รุนแรงขึ้น และฆ่าคนได้มากขึ้น เช่นปืนกล รถถัง ซึ่งจะนำมาห้ำหั่นกันในสงครามโลกทั้งสองครั้งได้มันยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ประเทศตัวเองร่ำรวยยิ่ง ๆ ขึ้น และมีอำนาจเหนือประเทศอื่นเสมอ

นอกจากอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันนี ฮอลันดา ปอร์ตุเกจ เบลเยี่ยม แม้กระทั่งรัสเชีย ต่างก็แก่งแย่งหาทางกอบโกยกัน และขยายอุตสาหกรรม ดินแดน และอำนาจ มันก็เลยขัดผลประโยชน์กัน ทั้ง ๆ แต่ละประเทศก็ร่ำรวย มีดินแดนมากมายอยู่แล้ว แต่ก็อยากให้มีมากขึ้น มันก็ต้องพูดกันด้วย Blood & Iron กันละ หรือทั้งหมดนี้นำไปสู่ความฉิบหายของทั่วโลกในสงครามโลกทั้งสองครั้ง

ขอแถมบทความสุดท้ายอีกหน่อย คือเรื่องของมาเลเรีย

Malaria

โรคนี้คนไทยรู้จักกันดี และมักจะเรียกว่าไข้ป่า หรือไข้จับสั่น มันก็ถูกต้องทั้งสองชื่อนี้แหละ คือไปเข้าป่า แล้วก็มาเป็นโรคไข้จับสั่น คือไข้และสั่นนี้จะเป็น ๆ หาย ๆ บางคนก็จับสั่นมันทุกวัน บางคนก็วันเว้นวัน หรือทุกสามวัน

ดังที่เล่ามาแต่ต้นว่ามันมีสาเหตุมาจากยุง แต่นั่นไม่ใช่ตัวสาเหตุที่แท้จริง ที่แท้มันเกิดจากโรคพยาธิชนิดหนึ่ง แต่ตัวพวกนี้มันเล็กมาก เล็กกว่าเม็ดเลือดแดงมากทีเดียว แต่เขาไม่เรียกว่าแบคทีเรีย เพราะตัวเชื้อโรคนี้มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นหลายอย่าง

ตัวพยธิ์มันเอ็งไม่สามารถเข้าหาตัวคนได้ ต้องอาศัยยุงมากัด แล้วก็มุดเข้าไปในเส้นเลือด ตัวที่ออกจากน้ำลายของยุงเรียกว่า Sporozoite มันจะเจาะเข้าไปในตับ แล้วก็แบ่งตัวจนถึงเวลา มันก็มุดออกจากตับ ต่อจากนี้ก็เริ่มโจมตีเจาะเข้าในเม็ดเลือดแดง จากเม็ดเลือดแดงที่เป็นอาหารนี้ มันจะแบ่งตัวออกสักสามสิบหกตัว ตอนมันแตกออกจากเม็ดเลือดแดงนี้ ถ้าแตกพร้อม ๆ กันก็จะทำให้เป็นไข้หนาวสั่น บางรายก็เกิดเสียสติ ถึงกับสลบไป นอกนี้อาจทำให้เกิดปวดท้อง ท้องเดิน อาจทำให้ปัสสาวะเป็นสีดำได้ อาการไข้หรืออาการอื่น ๆ เหล่านี้เกิดเพราะพิษจากตัวมาเลเรียและของเสียจากเม็ดเลือดที่แตก Spors  ตัวสปอร์เหล่านี้ก็จะเจาะมุดเข้าสู่เม็ดเลือดแดงต่อไป แต่ละครั้งที่มันแตกออกจากเม็ดเลือดแดงก็จะเกิดไข้หนาวสั่น จะเห็นว่าจากสปอร์ครั้งแรกแค่หนึ่งตัว เม็ดเลือดแดงหนึ่งเม็ดที่แตกออกก็เป็นสปอร์หลายสิบตัว แค่มันแตกตัวไม่กี่ครั้ง มันก็เกือบกินเม็ดเลือดแดงเราไปมากมาย ที่สำคัญบางทีมันเกาะกันเป็นกลุ่มแล้วไปอุดตันเส้นเลือดเล็ก ๆ มากมาย เช่นในสมอง เราก็สลบได้

มันมีพิสดารกว่านั้น หลาย ๆ คู่ในสปอร์นี้จะมีตัวผู้และตัวเมีย เรียกว่า Gametocytes พอยุงมาดูดเลือดรา ก็จะเอาตัวผู้ตัวเมียเข้าไปในถุงกระเพาะของมัน แล้วไปผสมออกเป็นไข่ออกมา ตัวไข่พอสุกก็แตกตัวเป็น sporozoite มากมาย มันจะไปเกาะอยู่ในถุงน้ำลาย พอยุงเจาะผิวหนังเราเข้าสู่เล้นเลือด ก็จะบ้วนเอาตัวพวกนี้ออกมา ในน้ำลายของยุง มีสารทำให้เลือด ไม่เกาะกรัง ไหลออกได้ง่าย ๆ ยุงก็จะเอาหลอดดูดกาแฟพิเศษของมันดูดไปเรื่อย ๆ จนเต็มกระเพาะ แล้วก็บินจากไป ตัว Sporozoites เข้าสู่ระบบเลือดเรา แล้วก็วนเวียนอย่างนี้ไปอีก วนเวียกันไปอย่างนี้ จากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง ผมเล่าแบบย่อ ๆเพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ  เรื่องจริงมันยุ่งกว่านี้อีก และเรียกชื่อต่าง ๆ ไปอีก ผมว่าอย่าไปจำให้ยากเลย เอาที่ผมเล่ามาง่าย ๆ แค่นี้ก็คงจะพอ

ตัวเชื้อมาเลเรีย มันชื่อเรียกจริง ๆ ว่า เชื้อ Plasmodium ที่เขาเรียกว่า Malaria นั้น เพราะว่าสมัยก่อนเขายังหาตัวเชื้อพยาธินี้ไม่เจอ เลยเหมาว่าเกิดจากอากาศเสีย ทำให้เป็นโรคนี้ เลยเรียกว่า MAL เสีย AIR อากาศ

ตัวเชื้อ Plasmodium นี้มีอยู่สี่ Families ครอบครัว ที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศเราเรียกว่า P. falciparum ตัวนี้ทำให้มีไข้จับทุกวัน หรือทุกสองวัน ที่รอง ๆลงมาก็พวก P. vivax ตัวนี้ร้ายน้องหน่อย คือไปโจมตีสมองหรือไตน้อยหน่อย แต่มันก็แพร่ไปทั่วโลก และที่ไปอเมริกาใต้ก็คงตัวนี้แหละ ที่มากที่สุด

ยุงตัวที่นำโรคนี้อยู่ในครอบครัว Anopheles

ยาที่รักษาโรคมาเลเรียก็ต้องควินนิน แต่เดี๋ยวนี้ตัวมาเลเรียพวกนี้ก็ต้านยาตัวนี้เสียมากแล้ว ต่อมาก็มียา Chloroquine และที่ค้นพบหลังสุดก็มี Primaquine และ Mefloquine เข้ามาแทนที่ และยาอื่น ๆ อีกหลายตัว

การป้องกัน ที่ดีก็มียาพวก Chloroquine, Mefloquine, Proquanil มันก็แล้วแต่จะไปถิ่นไหนแหละครับ ถามหมอฝรั่งหรือหมอฟิลิปปิน เขามักจะไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ ก็คงต้องถามหมอเอเชียพวกกะเหรี่ยงอย่างเรา ๆ แหละครับ

 

 

 

 

                                            ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                                                  Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California