ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

                  โรคกรน (Sleep Apnea)

                                                                                     ตอนที่ 1

                                                                                                                      นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

เสียงกู่สะท้านฟ้า

              ผมกลับไปที่เมืองไทยเดือนสิบสองหลายปีที่แล้ว อากาศกำลังเย็น เป็นช่วงที่ชาวไทยที่ล้างสมองแล้วจากอเมริกาที่ไม่ชินกับอากาศร้อน นอนได้อย่างสบายตอนกลางคืน โดยไม่ต้องเปิดเครื่องแอร์กี่(ผมก็ไม่รู้แปลว่าอะไร รู้ว่าเรียกแล้วมันทันสมัยดี)

              บ้านที่ผมไปนอนอยู่ในหมู่บ้าน แถวมหาวิทยาลัยรามกำแหง (ผมมีหลายบ้านให้เลือก แต่มีเมียคนเดียว  ไม่มีสิทธิเลือก) บ้านแถวนั้นอยู่กันอย่างสงบ ไม่หนวกหู แต่ทว่าเกือบทุกบ้านจะเลี้ยงหมาสักตัวหรือสองตัว ไว้แก้เหงา และกันขโมย โดยการเหาหลอกหมากันเล่น ๆ ทุกคืน

              ตอนดึกพี่สาวผมมาเคาะประตู ผมตกใจตื่นคิดว่ามีขโมยมาขึ้นบ้าน พี่ผมบอกว่าให้ผมปิดหน้าต่างเสียตอนนอน ถ้าร้อนก็ให้เปิดแอร์ไว้ก็แล้วกัน ผมก็ว่าผมชอบนอนเปิดหน้าต่างเพราะอากาศกำลังเย็นสบายดี พี่ผมก็บอกว่าเออน่า ปิดหน้าต่างก็แล้วกัน ผมก็ขี้เกียจตอแยต่อ  เพราะกำลังง่วงนอนอยู่ ปิดก็ปิด แล้วก็เข้านอน คิดว่าครานี้ขโมยก็เข้าบ้านยาก

              ตอนเช้าผมก็ถามพี่ผมว่า ทำไมต้องให้ผมปิดหน้าต่าง ในเมื่ออากาศตอนหน้าหนาวนี่กำลังเย็นสบายดี "ก็เราเล่นเปิดหน้าต่างนอน หมาทั้งตรอกเลยเห่าหอนเสียเกือบทั้งคืน พอน้องปิดหน้าต่าง หมาเลยหยุดหอน สงบขึ้น" ก็อ้ายเรื่องหมา ๆ นี่ทำให้ผมต้องมาคิดอยู่หลายวันจนมาพบความจริงเข้า ว่าพรรคพวกดันมาเห่าเพราะเสียงกรนของผมมันผิดปรกติ มันคงคิดว่ามีหมามาใหม่คงตัวใหญ่ด้วย แล้วดันเห่าเสียงพิลึก มันไม่ชอบหมาอื่นมาเบ่งในตรอกนี้ เลยร่วมปากหมากันเห่ากลบเสียงกรนของผมนั่นเอง ถ้าชาวบ้านแถวนั้นรู้ว่าหมาตัวใหม่คือผม เขาคงเรียกว่าตำรวจมาเตือนความประพฤติของผมแน่เลย โธ่! เวรกรรม ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เลย

             จริง ๆ นะครับ ผมเคยชนะการประกวดกรนมาแล้ว ได้ที่หนึ่งด้วย โดยผมไม่มีส่วนรับรู้ในตัดสินครั้งนี้ด้วย ไม่งั้นผมคงจะให้เห็นความอัจฉริยะภาพของผมในการกรน ให้เป็นท่วงทำนองที่เพราะพริ้งกว่านี้ อยู่ ๆ พรรคพวกเขาก็เอาถ้วยรางวัลมายัดเยียดให้ในตอนเช้า บอกว่าผมชนะเด็ดขาดเลย

             การกรนที่ดังและหนักแน่นนั้น มันเป็นเรื่องความเก่งกาจของแต่ละบุคคล จะเรียนกันเหมือนลูกศิษย์ของโรงเรียนสอนร้องเพลงของสุนทราภรณ์อย่างนั้นไม่ได้แน่ เสียงกรนที่เด็ดขาดนั้น มันต้องมีการกลั้นหายใจเป็นเวลาสิบถึงยี่สิบวินาที เหมือนขาดใจตายอย่างนั้นแหละ แล้วก็มีเสียงครอกออกมาดัง ๆ หนึ่งครั้งเป็นการข่มขวัญ ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงกรนที่โหยหวน บางคนก็เสียงทุ้ม บางคนก็เสียแหลม อ้ายนี่ก็แล้วแต่พรสวรรค์ที่ได้รับมรดกทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่แหละครับ จาดนั้นก็หยุดกลั้นหายใจอีก เป็นช่วง ๆ อย่างนี้แหละครับ ตอนเขาหยุดหายใจนั้นเขากำลังเตรียมพร้อมจะอัดเอาแรงพ่นออกมา ฉะนั้นอย่าไปอยู่ใกล้ ๆ หรือไปยืนจ้องติดแถวหน้าเขา เดี๋ยวคนดูก็มีหวังหน้าเปียกหมดจากน้ำลายที่พ่อนออกมาเหมือนภูเขาไฟอย่างนั้นแหละ

            ช่วงเขาหยุดหายใจนั้นอย่าไปปลุกเขาให้ตื่น เพราะไปกลัวว่าเขาจะขาดใจตายเสียก่อน ใจเย็น เขาทำมาตั้งแต่หนุ่มแล้ว คือว่าฝึกมาอย่างดีแล้ว ตอนอายุมากก็ยิ่งมีพลังที่ซ่อนเร้นไว้ คือว่ากำลังภายในมีอย่างล้ำลึก เลยปล่อยกำลังภายในเต็มที่ ถึงตอนนี้แล้วคู่นอนก็เตรียมตัวหาที่นอนใหม่หรือต้องแยกห้องกันละ

            การกรนดังนี่ มันมักจะเป็นการแสดงอนุภาพของผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่ คือเกือบ 80% เป็นผู้ชาย ดังนั้นผู้เป็นพาร์ตเน่อร์ที่เป็นผู้หญิง จึงมีโอกาสจะมาแสดงร้องเป็นเพลงคู่คงหาตัวยาก มีก็แต่หาเครื่องหรือสำลีอุดหูดับเสียงเท่านั้น เคยอ่านข่าวจากเมืองจีนแดง มีกระทาชายอ้วนนายหนึ่ง อยู่แถวเซี่ยงไฮ้ เพราะเสียงกรนสะท้านฟ้านี่แหละครับ เมียทนไม่ไหวเลยฟ้องอย่า ศาลก็อนุญาติ บ้านคงถูกเมียยึดไปละมั่ง เลยต้องไปเช่าอพาร์ตเม้นต์อยู่ อยู่ได้ไม่นาน แล้วอยู่ ๆ ชาวอพาร์ตเม้นต์ก็ร่วมกันลงชื่อยื่นฟ้องนายกระทาชายน้ำหนักมากคนนี้ ข้อหาทำลายความสงบสุขของอพาร์ตเม้นต์ ทำให้ชาวบ้านนอนไม่หลับ ตื่นเช้าไปทำงานไม่ไหว มันถึงคราวซวยซ้ำสอง ไปเจอผู้พิพากษาคนเดิมที่ตัดสินตอนให้เมียฟ้องอย่าได้ "ลื่ออีกหรือ คราก่อนอั๊วบอกลื้อ (เมืองจีนเขาพูดอั๊วกับลื๊อจริง ๆ ไม่ถือว่าหยาบหรือผิดวัฒธนะธรรมนะครับ)ให้ไปหาหมอรักษาเสีย ลื๊อก็ไม่ไป ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปหมด ครานี้อั๊วไม่จับลื๊อติดคุก เพียงปรับลื้อพันหยวน" ราว ๆ สองร้อยดอลล่าร์กระทาชายนั้นก็ต้องจ่ายไป หยวนก็หยวนซี่ว้า ดีกว่าติดคุก ทีนี้กระเป๋าก็แห้งซี่ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปรักษาโรคกรน เรียกว่าซวยแล้วโชคร้ายซ้ำอีกด้วย จะไปหาหมอสามสิบบาท เขาก็ให้ยาหม้อมาหนึ่งหม้อเท่านั้น(ที่เมืองจีนนะครับ ที่เมืองไทยอาจให้ยากวาดคอ ทาคออตนก่อนหลับแก้เจ็บคอถ้าจะหาหมอรักษาโรคนี้ก็ต้องหาหมอเชี่ยวชาญโรคนี้เท่านั้น เสียงเงินมาก  แล้วไม่รับรักษาสามสิบบาทหรอกครับ

           ข่าวก็ไม่ได้เล่าต่อว่า แล้วอีรักษาโรคกรนของแกได้ไง ผมเดาว่าแกคงต้องพับเสื่อกลับไปอย่าบ้านต่างจังหวัด ไปไถนาปลูกข้าวเท่านั้น เพราะอพาตเม้นต์ก็อยู่ไม่ได้แล้ว อย่างนี้คงไม่มีใครมาฟ้องแกอีก เพราะนอนกลางทุ่ง ไม่แน่อาจโดนควายขวิดตายก็ได้ เพราะควายทนเสียสะท้านฟ้าไม่ไหว นอนไม่หลับยั๊วะขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นกับอารมณ์ของควาย เขาเรียกว่าอะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด

           จริง ๆ นะครับถ้านายไขมันเยอะนี่คิดแล้วทำอย่างผมแนะนี่ แกอาจจะหายจากโรคกรนได้ เพราะตอนนั้นกระเป๋าแห้งแล้ว แกคงต้องประหยัดท้องหน่อย กินน้อยลง แล้วได้ทำงานหนักที่บ้านนอก การทำงานหนักก็ทำให้ลดน้ำหนักไปเรื่อย ๆ แถมอาหารในชนบทจะหาที่เป็นแบบแฟสตฟู้ดมัน ๆ หรือข้าวขาหมูทุกวัน คงไม่ค่อยมี รับรองว่าแกอยู่แค่หนึ่งปี หุ่นต้องดีขึ้น อะไรเป็นไขมันจุกแน่นอยู่ที่คอหอยก็ลดลง เสียงกรนก็คงจะค่อยลงไปเรื่อย หุ่นก็คงสำอางขึ้น อาจหาสาวตั้วคาคนใหม่มาช่วยทำนาด้วยก็ได้ คนจีนเขาปากมากไปหน่อยเวลาเรียกสาวบ้านนอกเขาเรียกว่า ตั้วคา อีเท้าโต เพราะสมัยก่อนผู้หญิงผู้ดีเขาต้องพันขาให้เล็ก ๆ ส่วนที่ไม่ฟันขา โดยมากจะต้องทำงานหนัก แต่งงานแล้วจะได้ ลิฟแฮปปี้ลี่ ฟอร์เอฟเวอร์

           สาเหตุที่ทำให้กรน หนึ่งก็ต้องเป็นผู้ชาย(คนผู้ชายอย่าเพิ่งท้อถอย จนถึงฆ่าตัวตาย มันน่าจะเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจได้) ต่อมาก็พวกน้ำหนักมาก (อย่างในรูป) มันทำให้ทุกอย่างแถวคอพลอยบวมโตไปด้วย พวกทอนซิลทั้งในคอและหลังช่องจมูกบวมโต พวกลิ้นเล็ก ทำให้มันตกไปหลังคอหอยตอนนอนหงาย พวกคางเล็กหรือคางหด(พวกนี้หมอดูเรียกว่าส่วนล่างไม่สมบูรณ์ ตามตำาโหวเฮ้ง ไม่ได้เกี่ยวกับอย่างว่าไม่แข็งสักหน่อย) พวกคอหอยพอก พวกโรคไทรอยด์ต่ำมาก โรคนี้จะอ้วน ๆ ฉุ ๆ หน้าบวม ๆ พวกข้อกระดูกกรามอักเสบ นอกนี้ยังมีพวกที่เกิดจากสมองสั่งการพิการทำให้หายใจลำบากตอนนอน เพราะเวลานอนเราหลับสมองจะเป็นตัวสั่งการหมด แล้วตอนนอนหลับสมองเกิดทำงานขาด ๆ หล่น ๆ ก็หายลำบาก เรียกว่า Central apnea

          จะเล่านิทานให้ฟังเล่นก่อนไปนอน  มีกระทาชาวคนหนึ่งที่เก่งทุกอย่าง ฉลาดมาก ทำอะไรก็ได้ เกิดคิดบ้าอะไรขึ้นมาวันหนึ่ง ตะโกนท้าทายพระเจ้าบนท้องฟ้าขึ้นมา "ถ้าแน่จริงลงมาบนดินแข่งกับผมซี่ครับ" พระเจ้าซุส Zeus ของกรีก(ผมคิดว่านายนี้มันไปตระโกนแถวกรีซ  สมัยโบราณนะครับ) ได้ยินก็ไม่ลงมาแข่งด้วย เพราะมัวยุ่งกับกิจการอื่นอยู่ เลยสั่งลูกน้อง ก็คงพระเจ้าเท้ามีปีก Mercury นั่นแหละไปบอกกับกระทาชายนายนั้น "เพราะลื้อมันเก่ง ทำได้ทุกอย่าง ต่อไปก็ให้ลื้อหายใจเองก็แล้วกัน" ของกล้วย ๆ นายนี่ก็เลยต้องนึกหายใจเองทุกครั้ง นอนก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวลืมหายใจ คือทั้งวันทั้งคืนต้องคอยหายใจเอาเอง ไม่มีออโตเมติคละครับ วันแรกก็พอไหว เป็นสิบ ๆ วันไม่ต้องหลับต้องนอนกัน ไม่นานอีก็หมดแรงตายไปเอง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าสมองไม่สั่งการแบบออโตเมติคเราก็ต้องใช้เครื่องหายใจแล้วเจอะรูคอหอยช่วยแน่เลย เพราะคิดหายใจเองคงตายเหมือนกระทาชายกรีกคนนี้

                                                                        

                                                                                                  อ่านต่อ ตอนที่ 2

 

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California