แบรนด์รองบ่อน
Challenger brand เป็นศัพท์ทางการตลาดที่เพิ่งใช้กันไม่นาน
แปลเป็นไทยคือเป็นแบรนด์รองบ่อนที่ต้องการท้าชิงแชมป์
มวยรองบ่อนจะมีลักษณะพิเศษสามอย่างคือ
เป็นแบรนด์เล็กที่มีศักยภาพ
สองมีความทะเยอทะยานอยากเหยียบหัวแม่เท้าของยักษ์
และข้อที่สามซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดคือเป็นแบรนด์ที่ผู้บริหารมีกึ๋นกล้าทำอะไรเสี่ยง
ถ้าเป็นปลาก็กล้าว่ายทวนกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก
เพื่อไปหาที่อยู่ที่ดีกว่าเดิม
การที่ผู้บริหารแบรนด์รองบ่อนกล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงเพื่อโตแบบก้าวกระโดด
เป็นเพราะคนกลุ่มนั้นมีคุณสมบัติพิเศษคือเป็น
Contrarian strategist
คิดแตกต่างจากชาวบ้าน คนอื่นไปซ้าย
ฉันก็จะไปขวา คนส่วนใหญ่ชอบสีขาว
เขาจะรักสีดำ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาเชี่ออย่างหมดหัวใจว่ายุทธศาสตร์ต่างมุมจะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับตนเอง
เขาชอบที่จะมองอนาคตมากกว่าใช้เวลากับสิ่งที่ผ่านมาในอดีต
การมองต่างมุมของ Contrarian strategist
ไม่ได้ทำโดยไร้เหตุผล
แต่อยู่บนพื้นฐานของการใช้ตรรกะทางความคิดที่มีเอกลักษณ์สามประการคือ
1. เป็นคนขี้สงสัย สังเกตสิ่งรอบ ๆ
ตัว ถามว่าทำไม ทำไม และทำไม
2. มีจินตนาการ
และใช้จินตนาการเดินความคิดเข้าไปในส่วนที่เป็นด้านมืดของคนส่วนใหญ่
3. มีวิธีคิดที่เป็น Non-linear
thinking และอยู่บนพื้นฐานของสามัญสำนึก
คิดไม่เป็นเส้นตรง
หนึ่งบวกหนึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสอง
ตัวอย่าง Contrarian thinking
ที่เราสามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันคือเรื่องที่จอดรถศูนย์การค้าซึ่งเป็นเรื่องที่ผมตั้งเป็นคำถามมานาน
เมื่อเราขับรถเข้าไปในที่จอดรถของศูนย์การค้ายามจะแจกบัตรจอดรถ
คำถามคือแจกทำไม
อย่าบอกว่าเพื่อความปลอดภัยของผู้มาใช้บริการ
เพราะมีตัวอย่างให้เห็น
เมื่อปีที่แล้วมีรถหายไปจาก Hypermarket
แห่งหนึ่งในกรุงเทพ
เจ้าของที่จอดรถแห่งนั้นก็ปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างหน้าตาเฉย
โดยอ้างเงื่อนไขที่ระบุไว้ในบัตรจอดรถว่าในกรณีทรัพย์สินของเจ้าของรถสูญหายจะไม่รับผิดชอบ
บัตรจอดรถนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังเป็นภาระทำให้รถติดที่บริเวณทางเข้าและออก
ไม่รู้ว่าจะแจกหาพระแสงของ้าวอะไร
ที่ต้องแจกบัตรจอดรถทั้ง ๆ
ที่ศูนย์การค้าเหล่านั้นไม่เก็บเงินค่าจอด
ถ้าจะหาคำตอบคิดว่ามันเป็นประเพณีนิยม
ความเชื่อก็คือถ้าทุกคนทำ เราควรทำตาม
ไม่อย่างนั้นจะมีความเสี่ยงเพราะไม่เหมือนกับแกะส่วนใหญ่ที่มีสีขาว
หากใช้สามัญสำนึก
คนที่มาใช้บริการที่จอดรถต้องการอะไร
คำตอบคือความสะดวกและปลอดภัย
ทำไมไม่ยกเลิกการแจกบัตร
แล้วใช้ยามที่แจกบัตรมารักษาความปลอดภัยและจัดการจราจรภายในที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ใช้บริการ
ผมเห็นมีศูนย์การค้าที่กล้าหาญอยู่แห่งหนึ่งที่ทำอย่างนี้เป็นรายแรก
คือเสรีเซนเตอร์
ตัวอย่างของแบรนด์รองบ่อนที่ท้าชิงแชมป์จนสำเร็จ
คือ Tesco
ซึ่งเป็นแบรนด์ที่พวกเรารู้จักกันดี
แหล่งเกิดมาจากอังกฤษ เมื่อหลายปีที่แล้ว
Sainsbury เป็นผู้นำตลาดค้าปลีกในอังกฤษ
เป้าหมายของ Tesco
คือต้องการก้าวเป็นเบอร์หนึ่ง สิ่งที่
Tesco
ทำคือพยายามพัฒนาคุณภาพของสินค้าให้ทัดเทียมกับเบอร์หนึ่งและตัดราคาของสินค้าให้ใกล้เคียงกับ
Sainsbury ผลปรากฏว่าสู้กันยิบตา Tesco
ก็ย่ำอยู่กับที่
Tesco
กลับมาตั้งสติวิเคราะห์ว่าสิ่งที่ทำไปเป็นสงครามที่ตัวเองไม่มีวันชนะเพราะดันไปแข่งขันภายใต้เกมส์ของผู้นำ
ยังไงผู้นำก็ได้เปรียบแบเบอร์
การจะแซงหน้าได้ต้องอาศัยยุทธศาสตร์ต่างมุมโดยการสร้างเกมส์ของตัวเอง
หรือที่ภาษาการตลาดเรียกว่า “Shifting the
goal post.”
เอาสามัญสำนึกบวกกับความคิดริเริ่ม
Tesco
บอกว่าผู้บริโภคคงไม่ต้องการเพียงของถูกและดีเท่านั้น
แต่ยังต้องการประสบการณ์ในการชอบปิ้งที่ให้ความเพลิดเพลินในการซื้อของ
และนั่นคือเกมส์ที่ใช้ท้าชิงแชมป์
ตัวอย่างของความคิดริเริ่มที่
Tesco
ใช้เป็นข้อได้เปรียบในการสร้างแบรนด์คือ
จัดให้มีที่จอดรถพิเศษหน้าร้านสำหรับคุณแม่ที่มากับลูกเล็กพร้อมทั้งมี
Child care center
เพื่อให้พวกคุณแม่ชอบปิ้งแบบไม่ต้องเป็นห่วง
ในกรณีที่มีคนเข้าแถวที่ Check out
counter
มากกว่าสามคนขึ้นไปทางร้านจะเปิดแถวใหม่ทันที
ถ้าทอนเงินให้ลูกค้าผิดทางร้านจะจ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวนสองเท่าของส่วนต่าง
หมัดเด็ดอยู่ที่การรับประกันความพึงพอใจของลูกค้าในสินค้าที่ซื้อไปโดยไร้เงื่อนไข
หนังโฆษณาแคมเปญนี้
เป็นภาพของลูกค้าสาวเอาปลาที่ซื้อไปมาคืนเพราะไม่พอใจในคุณภาพ
พนักงานขายก็ถามด้วยความสุภาพแกมสงสัยว่า
“ปลาของร้านเราคัดมายังดี
ไม่พอใจคุณภาพที่ตรงไหนครับ”
ลูกค้าสวนกลับว่า “ฉันไม่ชอบสีหน้าของมันที่ดูเครียดจัง”
ทำไมTesco
ถึงบ้าบิ่นในการรับประกันโดยไร้เงื่อนไข
คำตอบก็คือสามัญสำนึกบอกว่า Up-side gain
มีค่ามากกว่า Down-side risk
ในเวลาไม่นาน Tesco
ก็ก้าวเป็นผู้นำตลาดเพราะความกล้าที่รู้จักสร้างเวทีที่มีแต่ตนเองชกอยู่คนเดียว
ลงทุนไม่มากแค่สามัญสำนึก
จินตนาการ และความกล้า
พวกเราลองไปใช้ดู |