แบรนด์กบฏมีคุณลักษณะแปลกคนอยู่ 4 อย่าง
1. แหกกติกาทุกอย่างที่ว่าด้วยการตลาด
เป็นแบรนด์ที่ไม่ใช้หลักเกณฑ์การตลาดมาบริหารจัดการตนเอง
ข้อสังเกตคือผู้บริหารของแบรนด์กบฏจะไม่จบการศึกษาทางการตลาด
ชอบทำตัวเองเหมือนเด็กเจ้าปัญหา
ตั้งคำถามต่อทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
และหาคำตอบโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์
2. ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร
จะทำหน้าที่เป็น Chief Marketing Officer
ที่ลงมาเล่นเรื่องการตลาดเอง
และถือว่าการตลาดเป็นหัวใจขององค์กร
3. ให้เกียรติและเคารพผู้บริโภค
4. รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร
และไปไกลแบบสุดเหวี่ยง
สุดยอดของแบรนด์กบฏ
คือแบรนด์ Virgin
ซึ่งเป็นธุรกิจที่ก่อตั้งโดยนาย Richard
Branson
เป็นกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
มีถิ่นฐานที่ประเทศอังกฤษ
ตัวอย่างของธุรกิจที่ Virgin
ทำเช่นธุรกิจสายการบิน การเงิน สถานีวิทยุ
ไปจนถึงเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ
หลักการในการทำธุรกิจของ Virgin
ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรต้องมีเงื่อนไขอยู่ 2
อย่าง
1. เป็นธุรกิจที่ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ
หรือไม่ได้รับการดูแลจากผู้ประกอบการเดิม
2. เมื่อยักษ์หลับ
หรือเมื่อการแข่งขันใน Category นั้นๆ
ไม่ได้สร้างผลตอบแทนคุ้มค่ากับเงินของผู้บริโภค
Virgin จะเข้าไปในตลาดนั้นๆ โดยมีเป้าหมาย
ต้องการเป็น Consumer champion
วิธีการก็แสนง่ายคือแหกกฎที่อยู่ใน
Category นั้นๆ
แล้วสร้างสินค้าของตัวเองให้มีข้อเสนอที่เซ็กซี่กว่าคู่แข่ง Richard Branson
มีโรคประจำตัว คือโรค Dyslexia
ซึ่งเป็นโรคที่มีผลต่อการเรียนรู้
ทั้งการเขียนและอ่าน
แต่ความฉลาดไม่ได้ด้อยกว่าคนธรรมดา
ผมถามเพื่อนที่เป็นหมอพบว่าคนที่เป็นโรคนี้
มีคุณสมบัติพิเศษไม่เหมือนชาวบ้านอยู่หลายอย่าง
แต่ที่สำคัญคือ
- หนึ่งเป็นคนเจ้าปัญหาและกล้าเกินมนุษย์
-
สองเป็นคนที่มองเรื่องเส้นผมบังภูเขาออก
หรือที่นักการตลาดชอบใช้ศัพท์เฉพาะว่า
Insightful
- สามมีจินตนาการสูง
โดยหลักการแพทย์ถ้าคนที่เป็นโรคนี้ได้รับการดูแลในช่วงเด็กไม่ให้เดินตกท่อไปซะก่อน
เมื่อโตขึ้นความสามารถพิเศษเหล่านี้จะส่งผลทำให้เขามีไหวพริบ
และมีความคิดริเริ่มสูงกว่าชาวบ้าน
Richard Branson เรียนหนังสือไม่จบ
และออกมาผจญโลกตั้งแต่อายุ 17
ผลงานชิ้นโบแดงที่ทำให้โลกธุรกิจต้องหันมามอง
คือการก่อตั้งสายการบิน Virgin Atlantic
เป็นสายการบินนานาชาติที่แข่งกับ British
Airway อย่างเอาเป็นเอาตาย
Richard Branson
สนใจที่จะทำธุรกิจการบิน เพราะเขาพบว่า
ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับผู้โดยสารเวลานั่งเครื่องบินคือความเบื่อ
เขาเริ่มต้นโครงการนี้โดยสร้างข้อเสนอที่บ้าสุดขั้ว
Virgin Atlantic
เป็นสายการบินแห่งแรก และแห่งเดียวในโลก
ที่ขายความเพลิดเพลินในการเดินทาง
Virgin Atlantic
ถามว่าทำไมเที่ยวบินที่บินข้ามทวีปประมาณแปดถึงสิบชั่วโมง
จึงฉายภาพยนตร์ให้ผู้โดยสารดูเพียงเรื่องหรือสองเรื่อง
ทำไมอาหารที่ให้บริการไม่ได้เรื่อง
จากคำถามเหล่านั้น
Virgin Atlantic
สร้างคำตอบที่แหกกฎอย่างสุดโต่ง
ผู้โดยสารในชั้นประหยัด
สามารถเลือกดูภาพยนตร์ เล่นเกม
หรือฟังเพลงจากช่องสถานีทั้งหมด 45 ช่อง
โดยแต่ละคนเลือกดูได้ตามรสนิยมของตนเอง
เพราะมีจอโทรทัศน์ส่วนตัวอยู่หน้าพนักเก้าอี้
อาหารที่บริการในชั้นธุรกิจมีให้เลือกถึง
4 เมนู นอกจากนั้น
ในชั้นธุรกิจยังมีบาร์ที่ให้บริการเพื่อให้ผู้โดยสารดื่มเหล้า
และคุยสังสรรค์กัน ที่เวอร์สุดๆ
คือมีหมอนวดบริการสำหรับคนขี้เมื่อย
ส่วนบริการภาคพื้นดิน
ผู้โดยสารชั้นธุรกิจจะมีรถรับส่งจากบ้านถึงสนามบิน
โดยเป็น Drive in check through
ไม่ต้องผ่านพิธีการตรวจสอบที่ยุ่งยาก
จุดขายที่เล่ามาข้างต้น
อาจเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนี้
แต่ลองนึกดูว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีที่แล้วจะมีความเป็นกบฏมากแค่ไหน
การสร้างสีสันเป็นสิ่งที่ Virgin Atlantic
ไม่เคยรีรอที่จะแสดงออก เมื่อปี 2000
ซึ่งเป็นปีข้ามศตวรรษ British Airway
ต้องการมีส่วนร่วมโดยสร้าง London eye
ซึ่งเป็นชิงช้าสวรรค์ยักษ์
ตั้งริมแม่น้ำเทมส์เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิวอันสวยงามของมหานครลอนดอน
ในวันที่ปั้นจั่นจะยกตัว London eye
ขึ้นตั้ง ปรากฏว่าโชคร้ายยกไม่ขึ้น Virgin
Atlantic ขาประจำของ British Airway
ฉกฉวยโอกาสโดยส่งบัลลูน
ที่มีข้อความด้านข้างว่า "BA can't get it
up" ไปลอยเหนือ London eye
พร้อมส่งช่างภาพไปเก็บภาพแล้วส่งเป็นข่าวแจก
ในวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ชั้นแนวหน้าในอังกฤษ
นำเสนอข่าวนี้โดยทั่วหน้า ทำให้ British
Airway หน้าแตก ในขณะที่ Virgin Atlantic
เติมพลังให้ตัวเองด้วยความขี้เล่น
โดยทฤษฎีการตลาด
แบรนด์ที่ขยายตัวอย่างไร้ขอบเขตอย่าง
Virgin น่าจะประสบกับปัญหา
การขาดความชัดเจนของแบรนด์ ปรากฏว่า
Virgin
ยิ่งขยายตัวยิ่งมีสุขภาพเข้มแข็งกว่าเดิม
มีผู้รู้กล่าวว่าตัวตนของ Virgin คือ
"ความเป็นตัวป่วน
ทำตัวเป็นหนามยอกอกยักษ์ใหญ่
และรักการแหกกฎ"
ดังนั้นจะอยู่ไหนก็ไม่ทำให้คุณค่าของแบรนด์จางลง
ตรงกันข้ามกับเสริมให้แก่นแท้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ข้อคิดที่นาย Branson ทิ้งไว้ให้กับเราผู้อ่านคือ
“The men who are
going to be in business tomorrow are the
men who understand that the future as
always, belong to the brave” |