สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ในเครือสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์

                             ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 
 

                                                สุราก็แปลว่าเหล้า

                                                                                      ตอนที่ 2

                                                                                                  .พ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

                                                             

         ดื่มจนหัวขาด

                    นี่เป็นครั้งแรกที่เหล้าทำให้เตียวหุยต้องเสียเมืองไป พอเล่าปี่กลับมาก็ต้องหารังใหม่อีก ยังไงก็ตามเล่าปี่ก็หาเมืองจนได้ ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีขงเบ้งช่วยอยู่แล้ว

                    ครั้งเมื่อกวนอูพี่คนรองที่เก่งกล้าในการรบต้องเสียชีวิตลง เพราะความหยิ่งยะโส และปากเสีย

        มันเกิดเรื่องขึ้น เมื่อซุนกวนอ๋องแห่งแคว้นหวูได้ให้คนมาสู่ขอลูกสาวของกวนอูเพื่อไปเป็นลูกสะไภ้ เพื่อให้เกิดสัมพันธไมตรีของทั้งสองรัฐ กลับได้รับคำตอบจากกวนอูว่า บุตรสาวของเรานี้เป็นชาติเชื้อเหล่าเสือ ไม่สมควรจะให้เป็นลูกสะไภ้ของสุนัข เพราะคำพูดประโยคนี้ทำให้อ๋องซุนกวนเจ็บใจนัก จึงระดมกำลังเข้ารบพุ่งกับกวนอู ทั้ง ๆ ที่กวนอูได้รับคำสั่งมาว่าห้ามออกไปรบ เพียงแต่ปิดประตูเมืองเกงจิวไว้ กองทัพใหญ่จะมาช่วย กวนอูก็ไม่เชื่อ ออกรบ จนต้องเสียเมือง และตัวเองถูกจับโดยนายพล ลิบองของฝ่ายซุนกวน แล้วก็ถูกตัดหัว ตอนอายุ 50 เท่านั้น.

                     เตียวหุยซึ่งครองเมืองลองจิวอยู่ เมื่อได้รับข่าวของพี่รองตายเพราะถูกตัดหัวก็ให้โศกเศร้าแทบอาสัญ รีบห้อม้าเข้าเมืองหลวงของรัฐฉู่เพื่อให้อ๋องเล่าปี่ ยกกองทัพเพื่อเข้าขยี้อ๋องซุนกวน ทั้ง ๆ ที่กองทัพได้จัดเตรียมทุกอย่างเพื่อเข้ารบกับโจผี ลูกของโจโฉซึ่งตั้งตัวเป็น ฮ่องเต้แทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ในนามปราบกบฏเพื่อกู้ชาติ ในที่สุดอ๋องเล่าปี่ก็ยอมอ่อนโอนตามเพราะคำสาบาลในสวนท้อ เพื่อแก้แค้นให้น้องรอง ตัวขงเบ้งไม่ยอมทัดทาน เพราะนี่เป็นเรื่องของพี่น้องเขาจะต้องทำตามคำสาบาล ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพี่น้องทั้งสามจะต้องตายร่วมกัน แต่เป็นชะตาของรัฐฉู่ ย่อมขัดชะตาของสวรรค์ไม่ได้

เมื่อกองทัพหลวงของรัฐฉู่ ทั้ง 750 กองพลเคลื่อนไปท้ารบกับรัฐหวู่ เตียวหุยก็ขอเป็นกองหน้า จะได้เข้ารบก่อนเพื่อจับอ๋องซุนกวงมาหั่นหัวออกเอง แล้วตัวเองก็รีบกลับเมืองลองจิว เพื่อเตรียมกองทัพหน้าของตัวเอง เมื่อเข้าจวนตัวเองในเมืองลองจิวแล้วก็รีบสั่งเหล้ามากินทันที(คงต้องเป็นเหล้าชั้นดีจำพวก เหล้าชิ่งพ้วยร้อยปี) พอหมดไปสักไหก็ขักเคลิ้ม เพื่อแสดงความเศร้าโศกและความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ก็สั่งให้เรียกนายทหารใหญ่ทั้งหลายให้เข้าพบ แล้ว ก็สั่งไปยัง นายพลฮอมเกียงและเตียวตะ ให้เตรียมกองทัพหน้าของตัวเองให้เป็นกองทัพครองทุกข์ โดยให้ทหารแต่งเกราะขาวและให้เตรียมธงทั้งหมดเป็นสีขาวทั้งกองทัพภายในสามวัน นายพลทั้งสองฟังแล้วก็ตะลึงอยู่กับที่  พอนับนิ้วตัวเองได้ก็รีบเสนอ ให้ขอเวลาต่ออีกสักสามสี่วัน เพราะไม่มีทางจะจัดเตรียมได้รวดเร็วขนาดนั้นสำหรับทั้งกองทัพ เตียวหุยได้ฟังก็โกรธาหน้าแดงด้วยฤทธิ์ของสุรา หนวดคราวชี้ขึ้นฟ้าเลย ด้วยน้ำโหจากเหล้าผสมกับนิสสัยพ่อค้าหมูของตัวเอง ก็ตะโกนเสียงลั่นที่ประชุมนายพลทั้งหลาย ลื้อกล้าขัดขืนคำสั่งอั๊วอย่างงั้นหรือ ต้องให้ลื้อรู้จักกฎระ เบียบทหาร เอ้า ทหารลากออกไปโบยหลังห้าสิบทีจะได้เข็ดหลาบ แล้วถ้าอีกสองวันยังไม่ได้ตามคำสั่ง ครานี้พวกมึงหัวหลุดแน่

                     นายทหารทั้งสองทั้งเจ็บกายและอับอายต่อทหารผู้อื่นนัก พอถูกหวดหลังห้าสิบทีแทบจะเดินไม่ไหว ต้องให้หามกลับที่พัก ทั้งสองก็ได้แต่ปรับทุกข์  เราคงจะทำไม่ทันแน่ ๆ และคราวนี้ก็คงไม่พ้นหัวขาด และถ้าออกรบได้จริง ๆ ก็คงต้องแพ้เขาแน่ ๆ มีอย่างที่ไหนที่ให้ทหารที่เศร้าโศกเข้ารบ ก็มีหวังตายกันหมด เราก็คงต้องตายด้วย ไหนเราจะต้องมาตายเปล่า ๆ ไม่ทางใดทางหนึ่งอย่างไร้เกียรติอย่างนี้ เราคงต้องเอาชีวิตเตียวหุยนายเราเพื่อรักษาชีวิตของเรา

                      เมื่อเตียวหุยสั่งการเสร็จก็พึงพอใจในความยิ่งใหญ่ของตัวเองและจะได้แก้แค้นซุนกวนแทนพี่รองของเรา โก๊งเข้าอีกหลายไห แล้วก็ออกตรวจการทหารให้พร้อมออกศึกภายในสามวัน เมื่อตรวจตราเสร็จก็แทบหมดแรงรวมทั้งฤทธิ์สุรา เพราะโก๊งเข้าไปมากด้วยใจรำพอง พอเข้าเต๊นท์ตัวเองก็ล้มลงนอนหมดสติสตัง นั่นคือการดื่มเหล้าเมาครั้งสุดท้ายของเตียวหุย นายทหารเสือทวนเงินของรัฐฉู่  เมื่อนายพลฮอมเกียงและเตียวตะย่องเงียบ ๆเข้าเต๊นต์เตียวหุย พร้อมด้วยดาบที่คมกรีด คนหนึ่งเชือดที่คอ อีกคนแทงที่หน้าอกตรงหัวใจ แล้วก็ตัดเอาหัวออกจากคอ ห้อม้ารีบนำหัวไปให้ซุนกวน.

                     การดื่มอย่างนายพลเตียวหุยเขาเรียกว่าเมาแบบหาเรื่อง หาเรื่องจนตัวเองหัวหลุดออกจากไหล่

                     มีรูปประกอบมาให้ดู ถ้าไม่อยากดูก็หลับตาผ่านไป เพราะดูแล้วมันเสียวใส้นัก เตียหุยคงเสียหัวลักษณะอย่างงี้ละมัง แต่รูปนี้เป็นเรื่องในคัมภีร์ Old Testament วาดโดย Gentileschi, Artemisia  เกี่ยวกับวีระสตรียิวผู้กล้าหาญชื่อว่า Judith ได้ยอมถวายตัวเข้าไปร่วมในวงสุราของศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ของยิวที่ชื่อว่า Holofernes เมื่อได้มอมสุราจนเมามาย แล้วก็ขึ้นเตียงด้วยกัน ด้วยความเมาของสุราและหมดแรงจากอีหนู แม่นางพอได้ทีก็ควักเอาดาบออกมาตัดหัวออกอย่างที่เห็นในรูปแหละครับ นี่เป็นอีกรายที่เสียหัวเพราะสุรา. รูปนี้อยู่ในมิวเสียวในเมืองฟลอเรนว์ อิตาลี.

                     ตอนหนุ่ม ๆ อยู่ชอบดูตัวตลกที่แต่งเป็นแขก ชื่อว่าบังเละ ออกทีวีทีไรแกต้องร้องเพลง สุราก็แปลว่าเหล้ากินแล้วเมา ก็เดินโซเซ

                     ครับ! คำว่าเหล้าในภาษีอังกฤษก็คงเรียกว่า Alcohol  เนื่องจากความนิยมกับสิ่งนี้มาก ๆ เลยมีคำอื่นมาแทนมากมาย เช่น Spirit, liquor, Booze, moonshine เป็นต้น แอลคอฮอล์ทุกอย่างไม่ใช่ว่ากินแล้วเมา แล้วก็เดินโซเซนะครับ บางอย่างกินแล้วเมา สลบไม่ตื่นก็มี บางอย่างกินแล้วมืดหมดไปทั้งโลก เพราะตาบอดก็มี ดังนั้นถ้าจะเป็นขี้เมาอย่างถึงกึ๋นแล้ว ไม่ใช่เห็นมีคำว่า Alcohol ก็ซี้ซั๊วหยิบมาดื่มไม่ได้นะครับ จะขอบอกเอาไว้.

                      แอลกอฮอล์นั้นมีมากมายหลายแบบ ตามน้ำหนักของโมเลกูลที่ประกอบขึ้นมา ที่เราสามารถดื่มได้เขาเรียกชื่อตามหลักเคมีว่า เอธิว แอลกอฮอล์ Ethyl Alcohol หรือบางทีเขาก็เรียกว่า Ethanol เอธานอล หรืออาจเรียกแบบชาวบ้านว่า grain alcohol แปลว่าเหล้าที่ทำจากธัญญาพืชหรือผลไม้ที่กินได้. น้ำหนักที่เบาที่สุดและอันตรายที่สุดในจำพวกแอลกอฮอล์ก็คือ Methyl alcohol หรือ Wood alcohol สารตัวนี้เมื่อเข้าร่างกายมันจะชอบไปเกาะติดกับเส้นประสาทเกี่ยวกับการเห็น Optic Nerve ทำให้ประสาทมันบวม แล้วตาบอดได้ แม้จะดื่มแค่ 30 cc(สองช้อนโต๊ะ) เท่านั้น นอกนี้ถ้าดื่มมากไปจะทำให้สลบ และจะไปกดเอาศูนย์การหายใจ ตายได้ เมธิว แอลกอฮอล์ เดิมที่ได้จากการกลั่นต้มเยื่อไม้ แต่เดี๋ยวนี้เราสามารถทำได้โดยการสังเคราะห์จากสารพวกถ่านหิน เขาเอามาทำเป็นน้ำยาในหม้อน้ำรถยนตร์กันการแข็งตัวของน้ำในหม้อน้ำในถิ่นที่อากาศหนาวมาก นอกน้ำอาจใช้เป็นยาละลาย น้ำยาชำระสี ใช้กับน้ำยาทาไม้ชนิดต่าง ๆ น้ำยาขัดน้ำต่างแม้กระทั่งน้ำหอม

          มีแอลกอฮอล์ชนิดชื่อว่า Denatured Alcohol มันก็คือ Ethanol นั่นเอง แต่เขาจะปน Methyl alcohol เข้าไปหน่อย เพื่อกันคนดื่ม สาเหตุที่โรงงานอุตสาหกรรมเขาสามารถทำ แอลกอฮอล์ที่ดื่มได้ด้วยราคาถูกมากมาใช้ในผลิตพันธ์ต่าง ๆ แต่เพราะรัฐบาลจะเก็บภาษีแพงมาก เท่ากับเหล้า Ethanol เขาเลยต้องผสมยาพิษนิดหน่อย หรือกลิ่นที่ไม่ชวนดื่มเข้าไปเพื่อกันคนดื่ม แล้วเรียกว่า  Denatured Alocohol จะได้ไม่ต้องเสียภาษีค่าเหล้า.

                       อีกตัวที่ใช้กันทั่วหลายเรียกว่า Rubbing Alcohol คือแอลกอออล์จุ้มสำลีที่หมอใช้ทาผิวหนังฆ่าเชื้อโรคก่อนฉีดยา ชื่อจริงเรียกว่า Isopropyl Alcohol ตัวนี้เขาไว้ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรคแช่เครื่องมือ ทิงเจอร์ทาผิวหนัง ทิงเจอร์ไอโอไดน์ ยาแดงทาแผล น้ำยาขัดกระจก น้ำหอม น้ำหอมทาหลังโกนหนวด น้ำยาตัวนี้มีพิษร้ายแรงกว่าเหล้า Ethanol เป็นสองเท่า นอกจากเล่นงานทางสมองแล้วยังทำลายปอดอีกด้วย เพราะตัวนี้ดื่มแล้วจะละเหยออกทางปอด มันอาจทำให้ปอดบวม เลือดออกได้ อาจตายได้ เพราะจุดศูนย์กลางการหายใจถูกกด.

         

           ทำน้ำตาลให้เป็นน้ำจันทร์

                          สุรา Drinking Alcohol ค้นพบโดยมนุษ์ชาติเป็นหมื่นปีเป็นอย่างน้อย ภาษาฝรั่งที่เรียกว่า Alcohol มาจากภาษาอาหรับ Al-kohl แปลว่าสีทาคิ้วให้เข้ม แล้วมันมาเกี่ยวข้องอะไรกับเหล้าสุรา ผมก็เดาไม่ออกเหมือนกัน ฝรั่งเขาเขียนมาอย่างนั้นผมก็เขียนต่อให้ดูเล่นเท่านั้นเอง

                          ทุกชาติทุกภาษารู้จักทำสุรากันหมด เพราะตัว ยิสต์ที่เป็นส่าเหล้ามันมีอยู่ในอากาศทุกหนแห่ง ตั้งแต่แถบร้อนจัดแถวสุมาตรายันไปจนถึงมอสโค (ที่เกาะสุมาตราร้อนจัดก็เพราะมันอยู่บนเส้นศูนย์สูตร Equator และมีอีกประเทศหนึ่ง ชื่อ Equador เอควาดอร์บนอเมริกาใต้ที่ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตรนี้ เลยเอาชื่อเส้นนี้มาเป็นประเทศ ยิสต์มันลอยไปทั่วหมด ไม่รังเกียจผิวพันธ์ทั้งสิ้น

              ประวัติของมันก็มีมายาวนาน ประเทศเก่า ๆ เช่นอินเดีย ในเรื่องรามเกียรติ์ก็มีจ้าวยักษานนทก ที่มีนิ้วเพชรชี้ใครก็ตายแหงแก๋ ถูกพระนารายณ์แปลงกายเป็นหญิงงามลงมา ชวนให้กินน้ำจันทร์จนเมามายแล้วก็ชวนให้ออกมาฟ้อนรำจนโดนนิ้วเพชรชี้ใส่ตัวเองตาย แสดงว่าสมัยนั้นคงมีการดื่มกันอย่างทั่วหลาย และกรรมวิธีทำสุราก็คงเจริญมากด้วย ของจีนในสมัยราชวงศ์เซี่ยราว ๆ 4-5 พันปีก็มีจารึกถึงนาง เม่ยสี่ ซึ่งเป็นนางสนมที่พระเจ้าเจี๋ย ทรงรักหลงไหลและบ้าในกามรมณ์ ทรงสร้างบ่อสุรา และป่าเนื้อไว้ให้ทหารและนางกำนันเล่นเซ็กให้ดูแบบสด ๆ คงต้นฉบับแบบถนนพัทพงจนราชวงศ์เซี่ยต้องล่มสลายลง. ส่วนที่อีจิปต์นั้นก็มีหลักฐานถึงการทำเบียร์และเหล้าองุ่นไว้อย่างชัดเจน เพราะเขาบรรยายเป็นรูปภาพเลย สรุปแล้ว เรื่องเหล้านั้นไม่ว่าชาติไหนเขาก็รู้วิธีทำกันทั้งนั้นเรื่องพรรค์อย่างงี้ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใครหลอกครับ.

                          กรรมวิธีก็คงค้นพบโดยบังเอิญทั้งนั้น เรื่องพรรค์อย่างงี้ต่างก็แน่ด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ อย่างแถบประเทศตะวันตกที่มีองุ่นมากมาย เขาก็คงบีบเอาน้ำมากินกัน ต้องเรียกว่าเหยียบขยี้ถึงจะถูก แต่กินไม่หมด ทิ้งไว้พอสองสามวันก็กลายเป็นเหล้าองุ่นขึ้นมา รสชาติก็คงอร่อยกว่าน้ำองุ่นธรรมดาเพราะมันมีรสชาติแหลมคมแสบลิ้นดี และดื่มแล้วสบายทรวงดี ส่วนทางชาติตะวันออกที่ไม่มีองุ่นก็คงค้นพบโดยเอาเมล็ดข้าวหรือธัญพืชไปแช่น้ำอุ่นเผื่อไว้ต้มเป็นอาหารแต่ยังไม่ได้ต้มเพียงทิ้งไว้สองสามวันน้ำที่แช่ก็มีรสชาติหวาน ๆ แสบลิ้นดี ดื่มแล้วมันสบายจิตดี ก็คงเป็นกระแช่ชนิดหนึ่งละครับ (ผมขอคิดเองนะครับ ถ้าจะคิดตามผมก็ไม่ว่า ผิดถูกอย่างไร ถ้าไปทำแล้วไม่ได้ผลก็อย่าจ้างทนายความมาซูผมก็แล้วกัน)

                          พวกเด็ก ๆ นะไม่ชอบรสชาติเหล้านะครับ ไม่อร่อย แต่ผู้ใหญ่ชอบนัก แล้วกินนาน ๆ ก็ติดใจด้วย มีข้อคิดว่า ของติดทั้งหลายในโลกมันไม่เคยอร่อยเลยสักนิด เช่นฝิ่น กัญชา มอร์ฟีนดูดครั้งแรกจะขมในคอมาก หมากพลูก็กัดลิ้น สูบบุหรี่ ซิก้า ล้วนไม่น่าจะติดทั้งนั้น แถมทุเรียนที่ฝรั่งพอได้กลิ่นแถบจะวิ่งหนีเอา ลูกสตอที่เราเอามากินกับน้ำพริก กลิ่นก็ใช่ย่อยที่ไหนละครับ แต่มนุษย์ก็ติดกันงอมแงมไปหมด

                          นักวิทยาศาสตร์เขาค้นพบว่า การเอายีสต์ yeast ใส่ลงไปในน้ำตาลให้หมัก Fermentation ไว้สองสามวัน ก็จะกลายเป็นเหล้า Ethyl Alcohol และแก๊ส คาบอน ไดอ๊อกไซด์ออกมาด้วย  และค้นพบอีกว่าถ้าเหล้ามีดีกรีกว่า  12 เปอเซนต์จะอยู่ได้นานไม่เสีย เพราะเหล้าที่เกินดีกรีขนาดนี้จะฆ่าเชื้อโรคได้. การทำเหล้านอกจากองุ่นและเมล็ดพืชแล้ว ผลไม้ต่าง ๆ มันเทศมันฝรั่ง น้ำตาลสด น้ำอ้อยล้วนทำเป็นน้ำตาลเมา น้ำหวานในดอกไม้ ที่สามารถถูกย่อยเป็นน้ำตาล Fructose และGlucose ได้ย่อมสามารถเปลี่ยนเป็นสุราได้ทั้งนั้น ดังนั้นถึงมีเหล้าชนิดต่าง ๆ

                          ยีสต์หรือส่าเหล้าที่สำคัญก็คือ Sacchromyces นอกจากตัวนี้แล้วก็มีอีกหลายตัวตามขั้นตอนของการหมักเหล้า บางตัวเขาปรับปรุงทางกรรมพันธุ์จนเป็นความลับในการหมักไวน์ของwinery โรงกลั่นเหล้าองุ่นนั้น ถ้าจะรู้จริง ๆ ต้องไปไต่ถามที่แผนกค้นคว้าการทำไวน์จากมหาวิทยาลัย UC ที่เมือง Davis ใกล้ ๆ แซคลาเมโต้.

                          เหล้าที่ดื่มมากที่สุดก็คงไม่พ้นเหล้าองุ่น Wine และเบียร์

                          เบียร์นั้นคงดื่มกันทั่วโลก ยกเว้นประเทศทีนับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็เห็นแขกอาหรับเขาหนีหน้าอดอาหารไปอยู่เมืองไทยโดยเฉพาะแถวซอยกล้วยน้ำไท นั่งดื่มเบียร์ หรือเหล้าหน้าตาเฉยเป็นแถวเลย. เบียร์นั้นทำมาจากข้าวมอลต์ ข้าวโพด ข้าวและต้องผสมด้วย ลูกฮอปด้วยจะได้มีรสขม ๆ หน่อย แม้กระทั่งเหล้าสาเก เหล้าโรงที่ยังไม่ได้กลั่นเขาก็นับเป็นเบียร์ด้วย

             

                      กลับไปตอนที่ 1                                                                   อ่านต่อ ตอนที่ 3

                                                                          

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California