สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ในเครือสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์

                             ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

         

                                            การให้เลือด                         

                                                                      ตอนที่ 2

                                                                                                          น.พ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

 

Acute Hemolytic Transfusion Reaction (ให้เลือดผิด)  

เคยอ่านหนังสือนักสืบเกี่ยวกับ เปาบุ้นจิ้น ไหมครับ หรือคนจีนเรียกว่า เปากงนั่นแหละ ผมไปค้นในประวัติศาสตร์จริง ๆ แล้วไม่เห็นมีบุคคลคนนี้ในสมัยราชวงศ์ ซ่ง มันเป็นเรื่องนวนิยายแต่งขึ้น แต่แต่งดีมากจนบุคคลคนนี้โดดเด่น กลายเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตชีวาจริง ๆ ถึงกับมีการตั้งศาลกราบไหว้กันละ เขาเอายุคสมัยซ่งใต้หรือหนานซ่ง เป็นเค้าโคลงของเรื่อง เพราะข้าราชการจีนกินกันแหลกลาน ชอบความสำราญ ขี้ขลาด เอาแต่โกยซีหมี่กัน และเลียเจ้านายกันเก่ง แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ขี้ขลาด ยอมให้พระราชบิดาและพระเชษฐาถูกเผ่ากิม จับไปเป็นตัวประกันและเข้ายึดทางตอนเหนือของจีนจนถึงเมืองปักกิ่ง ส่วนนั้นเรียกว่า ไป่ซ่ง แต่ตัวเองมาหนีมาเสวยความสุขทั้งทางเซ็กและสำราญใจกับข้าราชบริพารและนางสนมหกร้อยคน ที่เมืองทางใต้ที่เมืองใหม่ ไคฟง ต้องเรียกว่า พระลูกทรพีกันละ พอชนเผ่ากิมข่มขู่ ว่าจะปล่อยฮ่องเต้องค์เดิม ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ต้องขอร้องว่า จะเอาอะไรก็จะยกให้หมด ขออย่างเดียวอย่าได้ปล่อยตัวพระราชบิดาหรือพระเชษฐามาที่เมืองไคฟงเป็นใช้ได้ เพื่อตัวเองจะได้เป็นฮ่องเต้เสวยสุขที่เมืองทางใต้ สบายตลอดไป ไม่ต้องคืนตำแหน่งให้ใคร

ประชาชนเขาแสนจะเซ็งกับฮ่องเต้องค์เฮงซวยนี้มาก แต่ไม่รู้จะทำยังไง  เลยมีนักแต่ง นวนิยายงิ้วต้องปั้นตัว ตงฉินขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังใจกันหน่อยแก่ประชาชน เพื่อแก้เซ็ง ก็คือเปาบุ้นจิ้นหน้าดำนี่เองเป็นทางบุ้น คือทางความรู้ในการปกครอง ขณะเดียวกันก็มีนักรบที่เก่งกาจมาเกิดพร้อมกัน คือ เต๊กชิง หน้าเขียวเป็นฝ่ายบู๊ มีตำแหน่งเป็นถึงจอมทัพ นี่คือบัญชาของสวรรค์ไงเล่าครับ ให้มีทั้งสองผ่ายมาปกป้องราชบัลลังค์ซ่งเอาไว้ (แต่ขุนพลเต๊กชิงไม่โด่งดัง เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ทะเบียนการค้าครับ เลยูกกด ๆ เอาไว้) แต่องค์กษัตริย์องค์นี้ทั้งน่าอาภัพ และน่าเตะพอ ๆ กัน เพราะความขี้ขลาดและโงเขลาของฮ่องเต้องค์นี้ เลยเสียประเทศให้ชนเผ่ามงโกลจนได้ ซึ่งจะเป็นราชวงศ์ หยวน ของเจ็งกิจข่านในกาลต่อมา+

เรามาพูดถึงเรื่องอาภัพของฮ่องเต้องค์อย่างว่านี้ดีกว่า ไม่งั้นไม่ต้องเข้าเรื่องเลือดของผมสักที คือเขาถูกเปลี่ยนแม่ คือราชมารดาซึ่งเป็นมเหสีองค์ซ้ายเดิมเมื่อคลอดทารกชายใหม่ ๆ  แต่ถูกสับเปลี่ยนเอาแมวมาไว้แทนในเปล โดยการวางแผนร้ายของมเหสีฝ่ายขวา ซึ่งไม่มีลูกเลย เมื่อพระมเหสีฝ่ายซ้ายเกิดลูกเป็นแมว ถือว่าจัญไรมาก เลยถูกขับไล่ออกจากราชวัง ต้องระเหเร่ร่อนด้วยความยากลำบาก แถมตาบอด เพราะร้องไห้จนเสียสายตาไปเลยทีเดียว ตอนหลังสวรรค์มีตา ทำให้ท่านเปาได้ไปเจอราชมารดาจริง ๆ เข้าด้วยของติดตัวหลายอย่างจึงเชื่อว่าเป็นราชมเหสีฝ่ายซ้ายเดิมจริง ๆ แต่จะต้องมาพิสูจน์ว่าเป็นพระราชมารดาจริง ๆ อันนี่ยากหน่อย ท่านเปาก็ได้ไปปรึกษาแพทย์หลวง ซึ่งแนะนะว่าให้เอาเลือดขององค์กษัตริย์หยดใส่ในน้ำเกลือในชามหยก แล้วเอาเลือดของราชมารดาหยดตามลงไป เมื่อคนให้เข้ากันแล้ว ถ้าไม่ขุ่นมัวหรือตกตะกอนหมดก็แสดงว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อเดียวกัน หรือ เรียกว่าวิธี Cross-matching ปรากฏว่าสีแดงไม่จางและไม่ตกตะกอน มันเข้ากันได้ดี

การเอาเลือดผิดกรู๊ปที่เข้ากันไม่ได้ เม็ดเลือดจะเกิดปฏิกิริยาสองอย่าง อย่างแรกก็เกิดเกาะกัน ไม่ยอมแยกเป็นเม็ด ๆ อย่างนี้เรียกว่า Agglutination ถ้าส่องกล้องจะเห็นเม็ดเลือดสิบยี่สิบเม็ดเกาะกัน ทำให้เห็นเป็นเม็ดได้ด้วยสายตาเปล่า ส่วนอีกอย่าง เม็ดเลือดจะละลาย กลายเป็นของเหลวไป เรียกว่า Hemolysis ทั้งสองอย่างจะเกิดพร้อมกัน เมื่อให้เลือดผิดกรู๊ป

 ไชโย! แหมผมดีใจจนน้ำตาไหลเลยครับ เป็นอันว่าฮ่องเต้ก็ได้ทรงพบพระราชมารดาองค์จริง แม่ลูกกอดกัน น้ำตาไหลเป็นกระโถนท้องพระโรงเลยครับ ดีใจไหมครับ งิ้วเรื่องนี้ก็ขอจบแค่นี้ อยากฟังผมฝอยต่อก็ต้องส่งซองจดหมายถึงผม และจ่าหน้าซองถึงคุณ ต้องติดแสตมป์มาด้วยนะครับ ถ้าอยากดูรูปท่านเปา เปิดดูงิ๊วธรรมศาสตร์ที่พรรคพวกจัดให้เราดูกันในเวปไซต์ของเรา ฟรีครับ

เรื่องที่เล่าก็เพียงการพิสูจน์ในนวนิยายเท่านั้น ว่าเลือดที่เข้ากันได้ มันเป็นอย่างนี้ ยังไม่มีการให้เลือดกัน แล้วถ้าเกิดมีการให้เลือดและผิดกรู๊ปกันเล่าครับ

          มันเป็นยังไง คางเหลืองปางตายเลยครับ  มันเกิดบ่อยเหมือนกัน เพราะความสะเพล่าของคนทำงานตั้งแต่ห้องเลือด ตอนติดสลากชื่อผิดถุงเลือด หรือหยิบผิดถึงให้พยาบาล แพทย์เวร ไม่ตรวจดูชื่อบนถุงกับสายรัดข้อมือว่าสำหรับคนนี้หรือเปล่า

          ถ้าผู้อ่านเคยเข้าอยู่โรงพยาบาลมาก่อนจะจำได้ว่า ตอนอยู่ในโรงนี่เขาจะเอาชื่อเรา เบอร์โซเชี่ยว วันเกิด เบอร์โรงพยาบาล อะไรมิอะไรพิมพ์ในแผ่นปลาสติคมาผูกข้อมือเรา จะได้รู้ตัวแน่ ๆ ไม่ผิดคนไข้ เท่มากเลยครับ สวยกว่ากำไลมือของหลวงพ่อคูณเสียอีก ผมเองก็เคยมีสองอันด้วย ถ้าคนไหนไม่เคยมีนะครับ ลองเข้าไปอยู่ซีครับ เขาจะให้ติดข้อมือมาอัน แค่นอนที่ห้องฉุกเฉินเขาก็ให้เหมือนกัน

ทั้ง ๆ ที่ทางโรงพยาบาลเขาป้องกันการให้เลือดผิดคนขนาดไหน ในบางทีก็ยังให้เลือดผิดห่อ ผิดคนจนได้ เพราะความยุ่งหรือง่วงนอน พยาบาลก็ลืม Double check ชื่อบนห่อเลือดว่าสำหรับให้ใคร แล้วไปเทียบกับชื่อของคนไข้ มันตรงกันหรือเปล่า จากนั้นก็มีแพทย์เวร เช็คดูอีกที่แล้วก็ลงชื่ออีกที หมอเองก็ไม่ได้ไปตรวจดูอีกที เซ็นเลย ก็อย่างนี้แหละครับ แล้วก็เกิด Acute Hemolytic Transfusion Reaction อ้ายอย่างนี้คงไม่มี Happy Ending กันละครับ อย่างที่เล่าตอนฮ่องเต้ตรวจพิสูจน์เลือด ถ้าผิดกรู๊ปก็เกิด เม็ดเลือดเกาะเป็นกลุ่ม และเม็ดเลือดแตกละลาย เป็นของเหลว อาการที่เป็นก็เกิดจากปฏิริยาผิดทั้งสองอย่างนี้แหละ

อาการของการให้เลือดผิดจะเกิดตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงขึ้นไป คนไข้จะบอกว่าไม่สบาย คลื่นไส้อาเจียร ปวดเมื่อยไปหมด โดยเฉพาะปวดหลังมาก ไข้ขึ้น หนาวสั่น หายใจลำบาก ความดันเลือดตก ชีพจรเร็วและอ่อน ปัสสาวะน้อย และตรวจเจอสีของเลือด Hemoglobin ในปัสสาวะและเลือด ผิวเริ่มเหลือง ถึงกับเกิดอาการช๊อคไป สลบไป ถ้าตรวจเจอและรีบรักษาก็อาจฟื้นหายได้ ถ้ารักษาช้าไตก็จะพิการ (จาก Tubular necrosis) ตายภายใน หนึ่งถึงสองอาทิตย์ ถ้าแก้หรือรักษาไม่ถูก และไม่ทันกาล

แต่ถ้าอาการไม่รุนแรง มันจะค่อยแสดงออกมา แต่อาการน้อย มักเกิดในเด็กที่มีเลือดกรู๊ป Rheusus บวก และแม่มีกู๊ปเลือดดังกล่าวเป็นลบ (คนเรามี 85% ที่เป็นเลือดกรู๊ป Rh + )

การรักษาข้อแรกคือหยุดให้เลือด แล้วตรวจเช็คว่าให้เลือดผิดคนหรือเปล่า ถ้าเกิดขึ้นระหว่างผ่าตัด คนไข้จะไม่บ่น(เพราะหลับสนิท ตายก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดี) แผลที่ผ่าจะมีเลือดออกไม่หยุด แล้วให้น้ำเกลือแทนทันที จากนั้นก็เรียกตามหาหมอทางไตมาแก้ไขทันที

ฟังผมเล่าแค่นี้ก็คงกลัวแย่แล้ว นี่เพียงแต่ตัวที่ร้ายแรงที่สุด มันก็ยังมีแบบร้ายอย่างน้อง ๆ อีก แล้วไหนจะเจอเลือดของคนให้เลือดที่เป็นโรคร้ายแรงแฝงอยู่ตามที่เล่าในฉบับก่อน เช่นโรค Hepatitis หรือ HIV/AIDS ยังไง ๆ ก็กราบหาญาติที่เขายอมช่วยให้เลือดคนละห่อ หรือเลือดของตัวเองที่ถ่ายสะสมไว้ก่อนผ่าตัดก็ดีเหมือนกัน

  

  กลับไป ตอนที่ 1                                                                              อ่านต่อ ตอนที่ 3            

  

หมายเหตุ : ลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของบทความนี้ เป็นของผู้เขียนบทความแต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ สามารถติดต่อได้ที่ info@cualumni.us             

                                                       

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2006 Chulalongkorn University Alumni Association of California