หลวงจีน

                                                                                                      ตอนที่ 2

                                                                                                                                               นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

  

            นายกองหลู่ตะตกยาก 

ดังนั้นถ้ากระโหลกถูกกระแทกเบา ๆ สมองก็ช้ำเบา ๆ ไม่ถึงกับบวม เรียกว่า Cerebral Concussion (เคาะเบา ๆ ) ถ้าแรงถึงขั้นช้ำและบวม เรียกว่า Cerbral Contussion (ตะบันแรง ๆ ) ถ้าแรงถึงขั้นเลือดออก ซึ่งมีสองอย่าง อย่างแรกก้ที่พูดมาก่อนหน้า อย่างที่สองเรียกว่า Subdural Hemorrage

       แบบสมองเคาะเบา ๆ Cerebral concussion ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล อย่างหลัง Cerebral contusion ต้องนอนโรงพยาบาล อีกอย่างที่เกิดชนกันแค่ 5-10 ไมล์ต่อชั่วโมง แล้วทนายความหรือหมอเขาเรียก Whip lash หรือแบบแช่ตะหวัด คือตอนรถชนกัน หัวจะเขย่าหน้าเขย่าหลัง แล้วคนไข้จะบ่นว่าเจ็บต้นคอและมึนหัวกับปวดหัวด้วย อย่างนี้ไม่ต้องรักษาในโรงพยาบาล แต่รักษาที่ร้านหมอดัดกระดูด หรือหมอนวด สามเดือนจนกว่าทนายความบอกว่าหาย อาการก็หายเองได้ทันที อย่างนี้เขาเรียกว่ารักษาตามใบสั่งของทนายความ    

       เมื่อนายกองหลู่หาเรื่องกับนักเลงแต้เรียบร้อยแล้วรู้สึกสบายใจมาก ไปถองเหล้าที่โรงเตี๊ยมเสียหลายจอกแล้วค่อยกลับบ้านไปนอน ก่อนรู่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสาง ลูกน้องรีบมาปลุกให้ตื่นทันที แล้วเล่าให้ฟังว่า เมื่อวานที่นายกองไปต่อยหน้าเถ้าแก่แต้ เจ้าของร้านขายหมูนั่นนะตายแล้ว หมัดเดียวไปเลย. นายกองหลู่ฟังแล้วนึกอยู่ในใจว่า ครานี้กูติดคุกแน่ เพราะไปทำคนตายโดยกำลัง จะติดคุกถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้. รีบถามลูกน้องว่าแล้วจะให้ทำไงดี ลูกน้องก็บอกว่ารีบหนีไปก่อนแล้วค่อยมาคิดแก้คดีทีหลัง. ได้ยินดังนี้นายกองหลู่ที่กำลังจะกลายเป็นนักโทษอยู่รีบเก็บเสื้อผ้าพร้อมกับเงินทองที่รวบรวมได้ แต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดา รีบเดินทางออกจากเมืองก่อนฟ้าจะสว่าง ก่อนที่ทหารหน้าประตูเมืองจะมองเห็นหน้าได้ชัด.

       เดินรอนแรมมาเกือบสองเดือน ไม่รู้จะไปไหนดี จะไปหาเพื่อนที่เป็นทหารก็กลัวจะถูกจับส่งทางการ จะไปเป็นโจรก็ไม่รู้จะไปสมัครที่ไหน เงินทองที่เอาติดตัวมาก็ร่อยหรอลงทุกวัน  วันหนึ่งเดินผ่านเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เห็นหมู่คนกำลังแออัดดูอะไรกันอยู่ก็เดินเข้าไปดูกับเขาบ้าง แต่ยังเบียดเข้าไปไม่ถึงก็มีคนมาดึงที่แขน หันกลับไปดูก็เป็นพ่อเฒ่ากิมที่ช่วยเหลือไว้เมื่อสองเดือนที่แล้ว จนตัวเองต้องมากลายเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตายไปเสียนี่.

       พ่อเฒ่ากิมบอกให้รีบ ๆ ออกจากบริเวณนั้นไป เพราะผู้คนกำลังอ่านประกาศตามจับผู้กองหลู่อยู่ นอกจากข้อความแล้วยังวาดรูปไว้ด้วย. เมื่อออกจากตัวเมืองพ้นจากผู้คนไปมา ผู้เฒ่าหลู่ก็แสดงความดีใจที่ได้พบผู้มีพระคุณที่เคยช่วยเหลือตัวมา และพร้อมกับถามว่าทำไมผู้กองถึงได้กลายเป็นผู้ต้องหาไปเสียนี่. นายกองหลู่ก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พร้องกับสาปแช่งด่าว่าไอ้นายแต้ นักเลงเฮงซวย หนอยต่อยแค่หมัดเดียวดันมาตายได้ เลยต้องรีบหนีอาญาออกมาร่อนเร่อยู่นี่แหละ. ส่วนพ่อเฒ่ากิมก็เล่าให้ฟังว่าหลังจากออกจากอำเภอเมืองเท่งอันแล้วก็อาศัยเงินทองที่ผู้กองให้มา พร้อมกับให้ลูกสาวร้องรำทำเพลงหากินไปด้วย โดยมุ่งจะไปหาญาติที่อยู่ต่างเมือง แต่พอมาถึงเมืองนี้ก็เจอเศรษฐีประจำตำบล เกิดชอบใจลูกสาวเข้าตอนไปนั่งฟังนางร้องเพลงที่บนเหลา เลยอยากได้เป็นเมียน้อย เพราะเมียหลวงไม่สามารถมีลูกได้ พ่อเฒ่าก็เลยยกลูกสาวให้ โดยเจ้าสัวทำพิธีแต่งตั้งนางอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม. แล้วพ่อเฒ่ากิมก็ได้อาศัยอยู่กับลูกสาวอยู่ โดยแยกบ้านออกมาเป็นบ้านที่สองจากบ้านใหญ่ แล้วพ่อเฒ่ากิมก็พาไปที่บ้านของลูกสาว

       เมื่อลูกเขยที่เป็นจ้าวสัวมาหาเมียน้อย พ่อเฒ่ากิมก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องของนายกองหลู่ที่ต้องหนีอาญามา. ท่านเศรษฐีก็ให้การต้อนรับอย่างดี เพราะบุญคุณที่ทำไว้แก่ภรรยาน้อยสุดที่รักของตน. ยิ่งจ้าวสัวเป็นคนที่ชอบวิชาหมัด ๆ มวย ๆ ก็เลยคุยกันได้สนิท ถึงกับให้ย้ายไปอยู่บ้านหลวงที่มีลานฝีกมวยและห้องเก็บอาวุธครบ จะได้สนทนาและร่ำเรียนจากผู้กองหลู่.

       การที่ผู้กองหลู่จำเป็นต้องอยู่แต่ในบ้านหลังใหญ่โดยไม่กล้าก้าวย่างออกจากบ้านไป เพราะกลัวคนจำหน้าได้ ทำให้ผู้การหลู่มีอาการหงุดหงิดเสมอ เพราะเคยไปไหนมาไหนได้สะดวก กินเหล้าเมายาในภัตตาคารชื่อดัง ๆ ต่อนี้ไปก็เหมือนอยู่ในกรงฉะนั้น ถึงแม้จะมีเหล้าและเนื้อให้ดื่มกินอย่างไม่อั้นโดยความเอื้เฟื้อของจ้าวสัวซึ่งเป็นลูกผู้ดีมีการศึกษาดีมีตระกูล ซึ่งตระกูลนี้ตกทอดมาอย่างดีหลายสิบชั่วคน เพราะหลายคนในตระกูลเคยรับใช้ประเทศชาติในตำแหน่งใหญ่ ๆ มาแล้ว ฉะนั้นก็ไม่ต้องทำงานเหมือนไพร่ทั่วไป ท่านเป็นคนกว้างขวางมาก และท่านก็ชอบกีฬาจำพวกเลียะพะ วรยุทธทั้งมือเปล่าและอาวุธ ไนว่ามีอาจารย์ดี ๆ ต่างถิ่นมาโค๊ชหรือฝึกสอนอยู่เสมอ จนนับได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งกำลังภายในและนอกที่เจนจัดคนหนึ่งทีเดียว ตอนนี้ก็มีครู เหี้ยนหนานเป็นผู้ควบคุมการสอนเด็กหนุ่มในตำบลอยู่ ครูเหี้ยนหนานนี่เป็นคนค่อนข้างหยิ่งยะโสอยู่ เพราะลูกหลานของผู้มีอันจะกินนับถือแกมาก เพระาเป็นครูคนเดียวที่มีชื่อในอำเภอแถวนั้น จ้าวสัวก็เลยต้องอุปถัมภ์ให้เป็นครูของหมู่บ้าน

       ในสมัยนั้นบุคคลที่จะฝึกวิชายุทธวิธีนั้นจะต้องมีอันจะกินหรือมีผู้สนับสนุนให้เงินทองอยู่เสมอถึงไม่ต้องไปหาข้าวกินมื้อต่อมื้อ พวกบ่อมิไก๊จะเอาแรงที่ไหนมาฝึกกำลังกันเล่า มัวแต่หากินเช้ายันค่ำ เพราะการออกกำลังกายมาก ๆ ก็ต้องกินมากด้วย เปลืองข้าวสารเป็นบ้า ต้องมีเงินและเวลาถึงจะพอมีทางฝึกได้ ไม่เหมือนในหนังสือบู๊ลิ้มซี้ซั้วต่า จากเด็กเลี้ยงควายมาฝึกวิชาจนกลายเป็นผู้ยิ่งยุทธในปฐภี โดยได้รับตำแหน่งจ้าวยุทธเมื่อแข่งการเป็นจ้าวยุทธที่บนยอดเขาหัวซาน แล้ววัน ๆ อีเอาอะไรกินเข้าไป เอาเงินที่ไหนไปซื้อเสื้อผ้าดี ๆ สำหรับฝึกวรยุทธ การจะฝึกวิชาอาวุธก็ต้องไปหาซื้ออาวุธมา แต่ละอาวุธก็ใช่ว่าถูก ๆ ที่ไหนเล่า เพราะไม่ได้ทำด้วยปลาสติค เม็ดอินไชน่าที่ไหนเล่า  แล้วไหนเครื่องมือในการฝึก อย่างอ้ายด้วนตีนเพชรฆาตร ตอนฝึกจะต้องหัดเตะไหเหล้าแขวนไว้รอบตัวแล้วเตะให้ได้ทุกใบในฝ่าตีนเดียว นัยว่าครั้งเดียวแขวนสักสี่ใบ ถ้าอีเตะสิบครั้งมิต้องเอาไหมาแขวนถึงสี่สิบใบ ราคาใช่ว่าจะถูกที่ไหน. แล้วถ้าต้องฝึกการรบบนหลังม้าก็ต้องมีม้า ราคามิใช่น้อย จะเอาม้าผอม ๆ ที่ลากคันไถของเตี่ยมาฝึก มันก็ไม่วิ่ง มันมัวแต่หาหญ้ากิน แล้วขืนให้มันวิ่ง มีหวังหัวใจมันจะวายตายเสียก่อน เห็นหรือยังคนจะฝึกมันต้องมีเงินมีทอง วัน ๆ ก็มารำแต่มวยเท่านั้น นอกเสียจากว่าอยู่ในวัดเส้าหลิน บวชเป็นเณรช่วยปลูกผักปลูกมันเผือก หาฟืนหุงหาอาหารให้พระแล้วว่างๆ ก็ต้องไปปัดกวาดลานวัด ทำความสะอาดในโบสถ์ หุงหาน้ำอุ่นน้ำร้อนชงชาแก่ผู้คนที่มากราบไหว้พระที่วัด อย่างงี้ก็ไม่ต้องออกไปทำมาหากินเอง ว่าง ๆ พระที่มีเมตตาก็จะสอนวรยุทธให้เอาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยละ และอาจเก่งเป็นจ้าวยุทธในอนาคตก็อาจเป็นได้.

       เอ้า กลับมาเรื่องนายหลู่ตะดีกว่า การอยู่เฉย ๆ อีก็ทำไม่เป็น วัน ๆ อยู่ในบ้านจ้าวสัวที่มีลานสอนมวยจีนเลียะพะ มีเด็กหนุ่ม ๆ แต่งตัวเสื้อผ้าดีมาฝึกมวยกับครูเหี้ยนหนานตลอดเวลา จ้าวสัวเคยได้ยินกิติศัพท์การยกทัพจับศึกของผู้กองหลู่ตะมาบ้าง แต่เกรงใจที่จะให้แสดงให้ดูเปล่า วันหนึ่งเห็นนายกองออกมานั่งดูเด็กหนุ่มฝึกมวยอยู่ จ้าวนายก็อยากส่งเสริมให้ผู้คนรู้จักผู้กองที่มีชื่อดังแต่ก่อน แต่ผู้คนในตำบลนี้กลับไม่มีใครรู้จักเลยสักคน และนายกองก็ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมาเสียพักใหญ่ ๆ มัวแต่หลบตัวเพราะเป็นอาชญากรไปโดยไม่รู้ตัว จ้าวสัวก็ขอเชิญตัวให้รำท่ามวยที่หลู่ตะสะดวกให้ดูสักชุด

นายกองหลู่ตะก็ย่างเท้าเข้าไปที่กลางลานฝึกมวย หลังจากยืดเส้นสาย และสูดลมปราณลึก ๆ  แล้วก็ค่อย ๆ ร่ายรำอย่างเนิบ ๆ เพราะความลึกซึ้งและหนักแน่นของวิชาทั้งกำลังภายในและภายนอก คนที่ไม่มีสายตาเชี่ยญชาญมาก มักจะเห็นว่าท่าทางเชย ๆ การออกหมัดที่เชื่องช้า เนิบนาบ ไม่เห็นมีลมสลาตันหรือฝุ่นฟุ้ง หรือกระโดดโลดเต้นตีลังกาเหมือนท่าลิงท่าค่างเลย แต่หารู้ไม่ว่าภายในแต่ละขบวนท่าเหล่านี้ มีทั้งท่าโจมตีและตอบรับอยู่ในนั้น เมื่อจบขบวนท่ามวย มีแต่ท่านจ้าวสัวคนเดียวที่ตบมือตะโกนเสียงลั่น บราโว ๆ bravo อยู่ไม่หยุด (ลืมไปว่า บราโว มันเป็นภาษาลาตีน ภาษาจีนกลางต้องร้องว่า เห่า ๆ ถึงจะถูก)

 

                   กลับไปตอนที่ 1                                            อ่านต่อตอนที่ 3

                                                                                                         

 

                                            ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                                                  Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California