หลวงจีน

                                                                                                      ตอนที่ 3

                                                                                                                                               นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

  

     หลู่ตะขอบวช

 

โค๊ชมวยดูท่าร่ายรำมวยของหลู่ต๊ะแล้วได้แต่สั่นหัว แล้วก็พูดค่อย ๆ กับลูกศิษย์ว่า   “นายกองผู้ยิ่งยุทธก็มีแต่ท่าทางที่เงอะ ๆ งะ ๆ แค่นี้เอง จะไปจับผู้ร้ายหรือไล่ควายกับเขาได้ยังไง เสียเงินเสียข้าวสุกทางราชการเปล่า ๆ”  หลู่ตะพอจะได้ยินก็ได้แต่โกรธจนหน้าแดง แต่ไม่กล้าแสดงอาการใด ๆ เพราะเคยโกรธทีถึงต้องมาเป็นผู้ร้ายฆ่าคนหนีคดีอยู่นี่ อีกอย่างก็เกร็งใจจ้าวสัวแกด้วย ไม่อยากก่อความระคายเคืองแก่จ้าวบ้านที่ช่วยเหลือตัวและดูแลอย่างดีมาตลอด.

ส่วนจ้าวสัวแกเป็นผู้เชี่ยญชาญ เห็นถึงความลึกซึ้งของท่าแต่ละท่าย่อมสามารถทำร้ายหรือฆ่าคนได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้จะดูเนิบนาบไม่ผาดโผนก็ตาม ด้วยแต่ละขบวนท่าสามารถเปลี่ยนแปลงภายในพริบตา ในใจก็ได้แต่ด่าครูโค๊ชมวยว่าตาต่ำ ไม่รู้จักความร้ายกาจของท่ารำทั้งสามสิบท่า มิน่าเล่าถึงสอนเด็กหนุ่มในตำบลไม่ได้เก่งขึ้นเลย.

เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจหลู่ตะ และต้องการเยาะเย้ยสั่งสอนครูมวยซังกะบ๊วยที่ไม่เอาไหนเลยสักครั้ง แต่ไม่อยากให้ต้องหักหาญน้ำใจกัน. จึงได้ถามหนุ่ม ๆ ทั้งหลายว่าอยากจะทดลองฝีมือของผู้กองไหม เด็กหนุ่ม ๆ ทั้งหลายที่ดูฝีมือชั้นยอดของผู้กองไม่ออกต่างก็อยากจะลองดู เผื่อล้มผู้กองลมได้ตัวเองจะได้เด่นขึ้นมาในหมู่ผู้มีฝีมือในตำบล ต่างก็แย่งงกันจะลงมือด้วย หลู่ตะซึ่งกำลังยืนอยู่กลางสนาม เห็นสภาพเช่นนี้ก็บอกว่า “ลงมาทั้งหมดเลย ข้า ฯ จะให้ท่านทั้งหลายลงมือพร้อมกัน ข้า ฯ จะยืนอยู่กับที่ ขอใช้แค่สองมือก็พอ ถ้าท่านสามารถทำให้ข้า ฯ เคลื่อนย้ายแม้แต่ก้าวเดียวก็จะขอยอมแพ้เมื่อนั้น” หวานกู! เด็กหนุ่มทั้งหลายร่วมแปดคนต่างก็แย่งจะเป็นคนแรกที่จะลงมือก่อน ก็ตรูกันเข้าไป คนแรกพอยกกำปั้นก็ต่อยไปที่หน้าท้อง พลันรู้มีอะไรผิดปรกติหน้าท้องของหลู่ตะแฟบไปข้างหนึ่ง เท่ากับหนุ่มน้อยนั้นต่อยไปที่กลางอากาศ ตัวเองพลันถูกพลังชนิดหนึ่งช่วยดึงให้พุ่งไปข้างหน้า ตามกำลังของหมัดตัวเอง ถึงกับเซถนาล้มลง อีกเจ็ดคนเห็นคนแรกเสียท่าขนาดนั้น ต่างก็เฮโลเข้าหาตัวหลู่ตะพร้อม ๆ กัน ทั้งหมัดทั้งเท้าหวังจะช่วยกันตะลุมบอนให้หลู่ตะเขยื้อนจากที่เดิม แค่นั้นหลู่ต๊ะก็ต้องแพ้แล้ว แม้แปดคนจะช่วยกันหลู่ตะก็ยังคงยืนเหมือนต้นไม้ใหญ่ไม่ไหวติง แต่แล้วก็เห็นสองมือที่แข็งแรงจับหนุ่มน้อยทั้งแปดคนโยนออกจากรอบ ๆ เอวของหลู่ตะ ด้วยฝ่ามือแปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คือแกะมือออกจากเอวและเหวี่ยงออกจากวงพร้อม ๆ กันทั้วแปดคน จนหนุ่ม ๆ แปดคนก้นจิ้มพื้นถึงรู้ตัวว่าไม่มีทางจะทำอะไรหลู่ตะได้. มาถึงขั้นนี้แล้วเด็กหนุ่มทั้งที่ร่วมลงมือและที่ยืนดูต่างก็โห่เสียร้อง แสดงความนับถือและเคารพต่อความเก่งกล้าของหลู่ตะจนหมดสิ้น จ้าวสัวก็พรอยตบมือยิ้มร่าดีใจด้วย หันกลับมามองหาครูเลียะพะประจำตำบล ไม่รู้หายหัวไปไหนแล้ว.

       ต่อแต่นี้ไปเด็กหนุ่ม ๆ ทั่วทั้วตำบลใครเล่าไม่อยากไหว้หลู่ตะเป็นครู แต่หลู่ตะก็มีเงื่อนไข คือจะฝึกให้แต่ห้ามไหว้ครู คือไม่อยากให้เด็ก หนุ่ม ๆ พวกนี้ต้องมาแบกภาระเรื่องอาชญากรรมของตัวเอง เพราะจะเกิดเป็นเวรเป็นกรรมกันไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน เพราะประเพณีของจีนที่เข้มงวดว่าลูกศิษย์จะต้องถวายชีวิตให้แก่ครู แก้แค้นถ้าครูถูกคนอื่นฆ่าตาย เด็กหนุ่ม ๆ ทั้งหลายก็ยอมทำตามแต่ก็ยังนับถือดุจครูอยู่. ทุกวันต่างก็มาเรียนวิชาใหม่จากครู ซึ่งหลู่ตะก็ไม่หวงวิชาอะไรเลย สอนให้หมด ทำให้เด็กหนุ่มทั้งตำบลเกิดฝีมือแข็งกล้าขึ้นภายในเวลาที่รวดเร็ว.

       ความสงบสุขที่หลู่ตะกำลังมีอยู่ต้องหมดไปทันที เมื่อพ่อเถ้ากิมวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามากระซิบกระซาบกับจ้าวสัวที่ข้างหู ทันใดนั้นจ้าวสัวก็มีสีหน้าที่ไม่สบายใจเกิดขึ้น จนหลู่ตะเห็นความผิดสังเกตุ ด้วยเพราะเป็นคนใจร้อนก็ถามออกไปว่ามันเกิดอะไรขึ้นหนักหนา จ้าวสัวก็เล่าให้ฟังว่า เนื่องจากทางการได้ประกาศจับนายกองหลู่ตะมาเกือบครึ่งปีแล้วก็ยังไม่ได้ตัว ญาติโยมของนักเลงขายหมูก็ไปเร่งต่อทางการ โดยได้ยัดเงินแก่จ้าวหน้าที่ชั้นสูง ให้ช่วยเร่งจับตัวผู้ร้ายให้ได้เร็วที่สุด ทางการเลยให้อำเภอที่อยู่รอบ ๆ เปิดการค้นหาตัวฆาตรกรทุก ๆ บ้านเพื่อจับตัวให้ได้. หลู่ตะได้ยินเข้าก็เหมือนถูกน้ำเย็นราดบนหัวยืนตะลึงไปเลย เลยขอตัวเข้าที่พักของตัวเอง. จัดแจงห่อเสื้อผ้าและของใช้ติดตัวเพื่อจะออกเดินทาง ขณะจัดอยู่จ้าวสัวก็มาเคาะประตูขอเข้ามาพูดด้วย “นี่ท่านจะไปไหน ถึงกับต้องรีบร้อนอยางนี้” หลู่ตะก็บอกว่าอยากจะจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุดก่อนทางการจะมาค้นบ้าน เพราะไม่อยากให้จ้าวสัวต้องมามีเรื่องบาดหมางกับทางการเพราะซ่อนเร้นนักโทษฆ่าคนตาย “แล้วท่านจะเดินทางอย่างนี้จะพ้นหูพ้นตาทางการหรือ” หลู่ตะฟังแล้วก็อึ้ง จริงด้วยซี. ท่านเศรษฐีเลยแนะว่า “ท่านขอให้ข้า ฯ คิดดูสักคืนว่ามีทางช่วยอย่างอื่นที่รอบคอบกว่านี้ไหม”.

       ตอนรุ่งเช้าก่อนที่ไก่ตัวผู้จะขาน จ้าวสัวก็มาเคาะประตูห้องของหลู่ตะ เมื่อจ้าวสัวเข้ามาในห้องแล้วก็บอกว่า “ดูเหมือนจะไม่มีทางออกอื่นใดแล้ว ข้า ฯ ได้ให้คนรับใช้ จัดแจงไปซื้อใบทะเบียนบวชจากทางราชการมาให้ท่านเรียบร้อยแล้วเมื่อคืนนี้ที่อำเภอ โดยไม่ได้ปรึกษาท่านก่อน เพราะกลัวจะไม่ทันการ เลยต้องมาปลุกท่านแต่เช้าก่อนฟ้าจะสาง เพื่อจะออกเดินทาง” หลู่ตะฟังแล้วมีความรู้สึกเหมือนมีฟ้าแลบแล้วก็ผ่าลงมากลางหัว ทำเอาชาไปหมดทั้งตัว นั่งลงกับเก้าอี้นึกในใจว่าฉันจะเป็นพระแล้วหรือนี่ ซึ่งต้องกินเจ ซัดเหล้าก็ไม่ได้ แล้วชีวิตจะเป็นยังไงบ้างนี่นะ จ้าวสัวเห็นหลู่ตะมีท่าทางเหมือนถูกผีอำอย่างงั้น ก็รู้สึกไม่สบายใจที่ทำอะไรอย่างใหญ่หลวงต่อการเปลี่ยนแปลงของชีวิตของท่านผู้กอง ก็พลอยเสียใจไปด้วย. ต่างก็นั่งนิ่งอยู่สักพัก ในที่สุดหลู่ตะก็โพร่งขึ้นมาก่อน “แล้วการเป็นพระนี่เขาให้กินเนื้อ ดื่มสุราได้หรือเปล่า เพราะข้า ฯ ไม่สามารถตัดขาดจากสิ่งนี้ได้” จ้าวสัวฟังแล้วก็ให้หัวเราะร่าขึ้นมาว่า “ถ้าจะแอบกินเนื้อไม่ให้คนเห็นก็คงไม่มีใครว่ากระมัง ส่วนสุรานั้นท่านก็คงทำเป็นยาดองรักษาสุขภาพ ท่านสมภารก็คงไม่ว่าเหมือนกัน เพราะสมภารวัดนี้รู้จักกับตระกูลข้า ฯ นี้ดี เพราะตระกูลข้า ฯ เป็นคนก่อตั้งวัดนี้และค้ำจุนมาก็ร่วมเจ็ดแปดชั่วคนแล้ว”.

ฟังคำพูดของเจ้าสัวจบ หลู่ตะก็บอกว่าเป็นก็เป็น ดีกว่าจะหนีระเหเร่ร่อนอยู่อย่างนี้ตลอดชาติ. ถูกจับได้อาจจะกลายเป็นผีหัวขาด. เจ้าสัวเลยบอก “เอาละท่านจัดแจงโกนหนวดเคราออกให้หมด และแต่งตัวโดยเสื้อผ้าทีข้า ฯ นำมานี้จะได้ออกจากนอกเมืองตอนประตูเมืองเปิดพอดี ซึ่งยังสลัวอยู่ทหารยามคงตรวจตรามองหน้าไม่ถนัด”

       เมื่อหลู่ตะโกนหนวดเคราออกใส่หมวกและเสื้อผ้าใหม่เข้า ก็ดูเรียบร้อยเหมือนซินแสท้วม ๆ คนหนึ่ง แถมเสื้อผ้าที่ให้ใส่ก็บ่งว่าเป็นจำพวกนักศึกษาพเนจรอย่างงั้นแหละ. และเมื่อทุกอย่างจัดแจงเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางเป็นขบวนออกนอกเมืองโดยทหารยามหน้าประตูเมืองไม่ได้ตรวจค้นอะไร เพราะจ้าวสัวอีเส้นใหญ่มากและรู้จักกับบิ๊ก ๆ ทั้งหลายอยู่แล้ว ทหารเฝ้าประตูเมืองย่อมไม่อยากตอแยด้วย เดี๋ยวถูกย้ายจากตำแหน่งเฝ้าประตูเมืองซึ่งได้อะไรกินอยู่เรื่อย หยิบนี่หยิบนั่นจากชาวบ้านและแม่ค้าพ่อค้าที่ผ่านประตูเมืองเขาก็ไม่ว่าอยู่แล้ว ไปอยู่เฝ้าหน้าส้วมเก็บค่าเข้าห้องส้วมทีละสองกั๊กสำหรับเข้ากระเป๋าเมียจ้าวนาย เหม็นก็เหม็น แถมต้องขัดห้องส้วมตอนเย็นอีกด้วย ซวยตายห่า.

       ขบวนแห่นาคหรือทัศนาจรเมื่อมาถึงเชิงภูเขาก่อนขึ้นวัดโหงวไท่ซัว จ้าวสัวก็หันมาพูดกับนายกองหลู่ตะว่า “ข้า ฯ ได้ทะเบียนขอบวชจากทางการนี่ยากเย็นหน่อย เพราะปรกติทางการจะต้องขอดูตัวก่อนจะให้ใบอนุญาติ ข้า ฯ เลยต้องติดสินบนไปมาก แต่เรื่องนี้เรื่องเล็ก เมื่อถึงเวลาบวชท่านก็อย่าพูดอะไรมาก เพราะท่านสมภารต้องรับท่านอยู่แล้ว เพราะเป็นวัดที่ตระกูลข้า ฯ อุปถัมภ์ ท่านสมภารองค์นี้เป็นพระที่มีธรรมะสูงส่งยิ่ง จึงอยากขอร้องสักอย่างว่าท่านก็ขอจงตั้งใจเรียนรู้ธรรมะจากท่านสมภารให้มากที่สุด ใช้ชีวิตที่สงบสุขแต่เบื้องปลาย อย่าได้ทำอะไรที่วู่วาม ฮุดโจ้ว -พระพุทธจ้าว ก็จะคุ้มครองให้จ้าวมีแต่ความสุข อย่าได้ลาสิกขาบทเป็นเด็ดขาด เมื่อท่านบวชอย่างถูกต้องแล้วถึงแม้ว่าอดีตเคยทำผิดอะไรที่ใหญ่หลวง ทางการก็ไม่สามารถสืบสาวเอาความจ้าวได้ เพราะทะเบียนขอบวชก็คือประกาศีศของฮ่องแต่ให้อภัยโทษแล้ว. ขณะเดียวกันท่านก็หมดฐานะของชาวบ้าน เรียกว่าท่านเป็นศูนย์ไปแล้ว ไม่มีตัวตนในโลกนี้อีกแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์กับครอบครัวที่ต้องเป็นห่วงหรือรับผิดชอบ นอกจากตัวเองเท่านั้น”.

 

                                กลับไป ตอนที่ 2                                             อ่านต่อ ตอนที่ 4

           

                                                                                                         

                                            ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                                                  Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California