หลวงจีน

                                                                                                      ตอนที่ 4

                                                                                                                                               นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

  

        พระหลู่ตี้ซิม

 

                                                                                                                                                                    เมื่อจ้าวสัวพาตัวหลู่ตะถึงวัดโหงวไท่ซัวแล้วก็ได้ฝากตัวนายกองหลู่ตะเพื่อขอบรรพชิด พร้อมกับหนังสืออนุญาตบวชจากทางการ แล้วก็จัดถวายสังฆทานไตรจีวร เครื่องใช้ไม้สอยทุกชนิดสำหรับการออกบวช พร้อมด้วยปัจจัยก้อนใหญ่ ๆ ไว้บำรุงวัดอีกด้วย. เมื่อพิธีบวชเรียบร้อยแล้วผู้กองหลู่ตะก็กลายเป็นเณร หลู่ตึ้ชิม แปลว่าหลวงหลู่ ปัญญาไว โดยจ้าวอาวาสได้ใส่ชื่อลงในใบอนุญาติ พกติดตัวประจำ จะได้รู้ว่าไม่ใช่เป็นพระปลอม เณรหลู่ตี้ชิม (ตี้ซืมแปลว่ามีปัญญาลึกซึ้ง) เพราะยังเป็นพระไม่ได้ ต้องรออีก 49 วัน ต้องให้จำและปฏิบัติธรรมตามพระวินัยให้ครบ แล้วถึงได้เจิม จุดบนหนังหัวเหนือหน้าผากด้วยธูปถึงจะเป็นพระได้. เมื่อการบวชของหลวงหลู่ตี้ซิมจบสิ้นลงแล้ว วันรุ่งขึ้นขบวนจ้าวสัวก็ขออำลากลับบ้าน พร้อมกับสัญญาจะมาคารวะในปีหน้าตอนหน้าร้อน เพราะวัดนี้อยู่บนภูเขามีหิมะคลุมเกือบครึ่งปีทีเดียว. ถึงแม้จะเป็นพระแล้วก็ตาม ตอนหลังพระหลู่ตะก็ได้ออกมาผาดโผนในยุทธภพ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือราษฎรที่ถูกข้าราชการกังฉีนจอมโกงของราชวงศ์ซ่งข่มเหงจนต้องตกเป็นโจร แม้ตัวเองตอนหลังก็เข้าก๊กกับโจรผู้ดี ที่เรียกว่าวีรชนเขาเหลียงซาน แต่ก็ยังคงครองตัวเป็นพระหรือที่เรียกว่าหลวงจีนอยู่จนมรณะภาพ เพราะว่าในทางปฏิบัติของพระสงค์จีน เมื่อบวชแล้วจะไม่มีวันสึก คือถือว่าศูนย์หายไปจากโลกของมนุษย์ อยู่แต่ในโลกของธรรมะเท่านั้น มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้ลงว่า พระหลู่ตี้ซิมก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันของจีนอีกองค์หนึ่ง

ขอเล่าเรื่องจีนให้ฟังนิดหน่อย  เมืองจีนเป็นประเทศที่เริ่มจากราชวงศ์ จิ๋น ที่เป็นราชวงศ์ที่รวบรวมประเทศจีนที่แตกแยกเป็นประเทศเล็ก ๆ เกือบร้อยกว่าประเทศให้เป็นประเทศเดียวเท่านั้น คงราว ๆ พ..200-300 จะว่าพระจักรพรรติจิ๋นสีห่องเต้ องค์ประฐมของราชวงศ์จิ๋น จะทรงโหดร้ายต่อขบวนการรวบรวมประเทศอย่างไรก็ตาม ก็ได้เปลี่ยนแปลงแผนการปกครอง โบราณหรือแบบ Feudalism คือระบบราษฏรเป็นขี้ข้าทุกคน ให้มีระบบข้าราชการที่เป็นคนธรรมดาที่ทางการอบรมแล้วส่งไปปกครองแว่นแคว้นต่าง ๆ เท่านั้น ไม่ได้เป็นแบบเจ้าครองเมืองชั่วลูกชั่วหลาน สืบตระกูลกันเลย ปรับปรุงประเทศในทางป้องกันการรุกรานของต่างชาติโดยสร้างกำแพงยักษ์ ที่เราเรียกว่ากำแพงเมืองจีน บำรุงการคมนาคม สร้างถนนจากส่วนกลางไปสู่ทุกมณฑลให้กว้างขวางพอที่กองทัพจะเคลื่นทัพได้อย่างสบาย เหมือนโรมันโรด Roman Road แบบของจักรวรรดิ์โรมโบราณ เพื่อความสะดวกของการเดินทัพ การสื่อสาร และการขนย้ายพืชผลเกษตรที่เก็บเกี่ยวได้ การขุดลอกคลองสำหรับระบายและผายน้ำ ป้องกันน้ำท่วม โดยเฉพาะแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง และเป็นการกระจายน้ำแบบชลประทาน ทำให้ผลิตผลในประเทศเพิ่มขึ้น และด้วยประชากรไม่ต้องเสียเวลารบราฆ่าฟันกันเองเพราะขุนนางสืบตระกูลที่กินเมือง คอยจะขยายดินแดน ก็ได้ใช้เวลาในการทำไร่ทำนามากขึ้น นอกจากนี้ยังได้บังคับให้ทุกแคว้นตำบลใช้ระบบชั่งตวงวัดอย่างเดียวกันหมด       

                                                                                                                                                                                                            การศึกษาก็ไม่ให้งมงายกับการสอนแบบโบราณ ปรับตัวหนังสือที่ใช้กันเป็นร้อย ๆ อย่างให้เป็นแบบเดียวที่ทางการกำหนดให้เท่านั้น การปรับปรุงระบบนี้ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ที่ทำให้ประเทศจีนยั่งยืนยงมาเกือบสองพันปี เพราะตัวอักษรระบบเดียวนี้เท่านั้น แม้คำพูดจะออกเสียงต่าง ๆ กันตามมณฑลต่าง ๆ ก็ตาม เช่นเผ่าพันธุ์ของผมพูดภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นภาษาที่แยกมาจากภาษาฮกเกี้ยนของมณฑลฮกเกี้ยน แต่เผ่าแต่จิ๋วดันไปอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งคนส่วนมากพูดภาษากวางตุ้ง และอาหารกวางตุ้งก็เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในบรรดาอาหารจีนทั้งหมด ถ้าปราศจากตัวหนังสือที่เป็นระบบเดียว ผมคงสั่งอาหารกวางตุ้งจากเมนูของเขาไม่ได้หรอก  เห็นหรือยังว่าแค่มณฑลติด ๆ กันก็พูดสำเนียงต่างกันถึงสามสำเนียง แล้วทั้งประเทศ   จะมีเป็นกี่ร้อยสำเนียง ถ้าปราศจากภาษาเขียนระบบเดียวกัน ก็คงไม่ต้องติดต่อกัน

ตั้งแต่ระบบคอมมิวนิสต์จีนครองแผ่นดินก็ได้บังคับให้นักเรียนทุกคนต้องอ่านภาษากลางที่จีนบังคับไว้ เรียกว่า ผู่ทองฮว่า แปลว่าภาษาธรรมดา ซึ่งสมัยก่อนเรียกว่า กัวะอี่ แล้วตัวหนังสือจีนบางตัวที่เขียนยาก ๆ ก็หดเส้นลายให้น้อยลง เรียกระบบปรับปรุงใหม่นี้ว่า เผงอิม แปลว่าอักษรง่าย ๆ  ซึ่งคนบนแผ่นดินไต้หวันและญี่ปุ่นยังไม่ยอมเปลี่ยนตาม คงใช้ตัวหนังสือแบบเดิม ที่เรียกว่า คลาสสิค classic

เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์จิ๋น เพราะความโหดเหี้ยนของจักพรรดิ์จิ๋นที่สอง และการปกครองที่อ่อนแอเพราะพวกขัณฑีครองราช ก็เกิดการเปลี่ยนการปกครองโดยคนชนชั้นธรรมดา ชื่อเล่าปัง ซึ่งเป็นโคตร ๆ ของเล่าปี่ในวรรณกรรมสามก๊กนั่นแหละ โดยตั้งชื่อเป็นราชวงศ์ฮั่น นายเล่าปังก็ชื่อเปลี่ยนเป็น ฮั่นเกาจง กษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์ฮั่น

เมื่อจักรพรรดิองค์ที่สี่พระนามว่า ฮั่นมิ่งตี่ขึ้นครองราชย์ วันหนึ่งก็ทรงพระสุบิน(ฝัน) ว่าได้มีเทพทองคำซึ่งมีแสงเจิดจ้ามาปรากฏทางตะวันตกของประเทศ รุ่งเช้าก็เล่าถึงภาพในฝัน(พระสุบิน)ให้บรรดานักเดาในราชสำนักฟัง ต่างก็ลงความเห็นว่ามีพระที่ทรงพุทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นทางประเทศอินเดีย กษัตริย์ฮั่นที่สี่ก็ได้ส่งคณะทูตไปอัญเชิญให้มาโปรดสัตว์ที่เมืองจีน แล้วก็ได้อัญเชิญพระอินเดียที่พอจะพูดภาษาจีนได้บ้างมาประเทศจีน และได้เดินทางมาด้วยม้าสีขาว ตอนนั้นเมืองที่ติดด่านนอกเมืองหลวงก็คือเมืองซีอัน ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์จิ๋นมาก่อน เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการเยือนของพระสงค์ที่เข้าเมืองจีนองค์แรก ก็เลยสร้างวัดชื่อว่า วัดม้าขาว ซึ่งเมืองลกหยังที่ไม่ห่างไกลจากเมืองชายแดนซีอันที่ไปทางตะวันออกมากนัก พระสงค์สององค์ที่เดินทางมาเมืองจีนนั้นล้วนเป็นพระทางนิกายมหายาน

เมื่อพระสงค์ของอินเดียวได้เทศนาธรรมะให้แก่จักรพรรดิฟังแต่เบื้องต้น ก็ได้ซาบซึ้งถึงศาสนาใหม่นี้ จึงได้ขอร้องให้อยู่จำวัดที่พระม้าขาวเสียหลายปี แล้วได้แปลคัมภีร์ที่นำมาตั้งมากมายไว้ในวัดม้าขาว หลังจากนั้นก็มีธรรมทูตอีกลายองค์มาประจำอยู่ที่ประเทศ ศาสนาพุทธกลับมารุ่งเรืองใหม่ในอินเดียอีกครั้งก็ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ก็คงระยะเวลาเดียวกับตอนต้น ๆ ของราชวงศ์ฮั่น

ด้วยความศรัทธาที่มีต่อศาสนาใหม่นี้ ก็มีคนขอบวชในศาสนาพุทธ คือมีพระจีนเกิดขึ้น แต่ด้วยประเทศจีนมีศาสนาเดิมคือเต๋ามีนักบวชที่เรียกว่า เต้าสือและลัทธิปราชญาของขงจึ๊อ ซึ่งเป็นที่ยึดมั่นในนักศึกษาและนักปราชญ์ พวกนี้เรียกตัวเองว่า ยู่ เป็นใหญ่อยู่ ศาสนาพุทธที่เพิ่งตั้งตัวใหม่ก็ล้มลุกคลุกคลานหลายสมัย

การเจริญหรือเสื่อมของศาสนาพุทธก็แล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณของจักรพรรดิองค์ไหนว่าจะเชื่อศาสนาไหนมากกว่ากัน เพราะแต่ละองค์ก็ยังติดอยู่กับความเชื่อถึงและความขลังของตัวเองตามลัทธิเต๋าและขงจื๊อ ว่าเป็นเชื้อมังกรจากสวรรค์มาเกิด จึงถูกยกย่องว่าเป็นลูกของสวรรค์ เทียนจื่อ ซึ่งความเชื่อถือนี้ ห้ามมีการโต้แย้ง มีหวังหัวหลุดจากตัว

มันเป็นการยึดติดต่อความเย้ายวนของโลก ที่ศาสนาเต้าได้ให้พระมหากษัตริย์ทั้งหลายยึดแน่นไว้ ไหนเลยจะยอมมาเปลี่ยนความเชื่อว่าชาติหรือปรางค์ก่อน ๆ จะเป็นแค่มนุษย์บ่อมิไก๊ ตามหลักปรัชญาของศาสนาพุทธ แล้วเกิดได้ทำบุญสระสมมากมาย ก็เกิดเป็นใหญ่เพราะมีบุญมาก บุญหรือกรรมก็ไม่เกี่ยวอะไรกับสรรค์เลย แล้วแถมศาสนาพุทธยังสอนว่ารักษาศีล เพิ่มปัญญา และทำสมาธิถึงที่สุดแล้วก็ได้นิพพาน คือได้ตัดขาดจากโลก กลายเป็นศูนย์ ไม่ได้อะไร ตอบแตนในทางโลกเลย เห็นจะเข้าใจยาก แม้จะเข้าใจ แต่ก็อยากเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกีย์วิสัยแบบกษัตริย์ สนุกกว่าจะนิพพานเป็นไหน ๆ  ดังนั้นความเข้าใจในหลักธรรมของศาสนาพุทธของแต่ละจักรพรรดิก็เพียงแต่ผิวเผินเท่านั้น

ศาสนาพุทธมารุ่งเรืองมากก็ในสมัยราชวงศ์ถัง ได้มีวัดพุทธสร้างขึ้นมากมาย ด้วยปฐมจักพรรค์ ถังเกาจง เคยได้รับการช่วยเหลือจากพระสงค์ก็หลายครั้งก่อนได้ขึ้นครองราชย์  เลยมีความศรัทธาอย่างแรงกล้าในศาสนาพุทธมีพระสงค์มีพระสงค์ที่บวชอยู่หลายแสนคน แต่เหตุจูงใจที่มีการบวชมากก็เพราะ หนังสือหรือเอกสารอนุญาตบวช

 

                                 กลับไปตอนที่ 3                                                อ่านต่อ ตอนที่ 5

 

                                            ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                                                  Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California