หลวงจีน

                                                                                                      ตอนที่ 5

                                                                                                                                               นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

  

             กว่าจะเป็นวัดจีน

           

เรื่องเอกสารอนุญาติบวชของทางการนั้นเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยถัง หะแรกเป็นความหวังดีของพระจ้าวแผ่นดินใน ราชวงศ์ถังเพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านและข้าราชการบวชเป็นพระสงค์ในศาสนาพุทธ เพราะเป็นศาสนาที่คนบูชามากที่สุด ภายหลังที่พระถังซำจั๋ง(ในวรรณคดีไซอิ๋ว)  ซำจั๋ง แปลว่าพระไตรปิฎก ได้เล็ดลอดออกจากเมืองจีนและไปไกลถึงเมืองราชคฤห์ ได้เข้าศึกษาพระธรรมที่มหาวิทยาลัยศาสนาพุทธที่นาลันทา University of Sri Mahavihara Arya Bhikshu Sanghasya ที่อยู่นอกเมืองราชคฤห์นั่นเอง ได้บันทึกถึงรายละเอียดต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยนี้ ซึ่งมีนักศึกษาเดินทางไกลจาก ชวา สุมาตรา ศรีลังกา ได้อัญเชิญพระคัมภีย์มาจากอินเดียวถึง 500 เล่ม แล้วแปลเป็นภาษาจีน (อยู่จำพรรษาที่วัดห่านใหญ่จนมรณภาพ ในเมืองซีอัน ) ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นมหาวิทยาลัยนี่เขาให้ปริญญาเอกหรือเปล่า ถ้ามีก็คงต้องเรียกใหม่ว่า ดร. ถังซำจ๋ำ แซ่ตั้ง

ท่านได้บรรทึกการเดินทางของท่านอย่างละเอียด ทั้งการศึกษาทางธรรมะ เมืองต่าง ๆ ที่ผ่านไป นับว่าเป็นบันทึกที่เป็นประวัติศาสต์ของอินเดียชิ้นหนึ่งทีเดียว นอกนี้ยังได้พระสารีริกธาตุจากอินเดียมาหลายชิ้น จนเดี๋ยวนี้เมืองจีนเป็นประเทศที่มีพระสารีริกธาตุไว้ให้บูชามากที่สุด จากบทบันทึกนี้ นักแต่งเลยเอามาแต่งเป็นเรื่องไซอิ๋ว เป็นวรรณกรรมชิ้นเอก แต่งโดยอู๋เฉินเจิน ราว ๆ ห้าร้อยปีที่แล้ว ราว ๆ พศ. 2042 เค้าโครงเรื่องนี้เหมือนเรื่องรามเกียรติ โดยตัวเอกมีผู้ช่วยหรือผู้พิทักษ์ธรรมป้องกันหรือ Body guard เป็นลิง ชื่อว่าซึงหมอคง เหมือนหนุมาน สามารถแปลงร่างได้สามสิบหกอย่าง เหาะเหิรเดินอากาศได้ มีความชาญฉลาด และไหวพริบ แต่ต่างกันอย่างเดียวคือไม่เจ้าชู้ คนอ่านติดกันมาก ถึงกับยกย่องซึงหมอคงเป็นเทพเจ้ามีศาลบนบานศาลกล่าว และกระทั่งมีเจ้าซึมหมอคงเข้าร่างทรง ซึ่งผมตอนเด็ก ๆ เคยไปดูกับเขาด้วย ผมนะอยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าเอาตัวทรง หนุมานและซึงหมอคงมาเข้าพร้อมกัน แล้วเกิดต่อสู้กันขึ้น ลิงตัวไหนจะแน่กว่ากัน

 

พระสงค์อีกองค์หนึ่งที่ต้องจารึกไว้ก็คือ หลวงจีนอี้จิง องค์นี้ไปเมืองจีนทางเรือ แล้วก็กลับทางเรือ (พ..1214)  ก็ไม่รู้ว่าไปลงเรือที่ท่าเรือไหน อาจจะแถวแคลคัตต้าก็ได้ พอเรือแล่นมาถึงแถวเกาะสุมาตรา เกิดเรือแตกคัมภีย์ที่ได้มาก็ศูนย์หายไปด้วย แต่ด้วยเป็นพระที่ช่างสังเกตุ และชอบจดเอาไว้ แถมมีความจำเป็นเลิศ ก็ได้เรื่องของเมืองศรีวิชัยในเกาะสุมาตรา ที่ตอนนั้นนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานด้วย แล้วต่อมาก็ล่องเรือมาเข้าแถวเขมร เพราะประเทศเขมรในช่วงนั้นเป็นเมืองใต้การปกครองของศรีวิชัย เลยได้รู้เรื่องเขมรแถมมาด้วย เป็นบันทึกที่ละเอียดมาก ท่านได้เรียนพูดได้หลายภาษา ด้วยชื่อเสียงของท่านที่โด่งดังทางเทศนาในระหว่างเดินทางกลับโดยขึ้นบกแถวกวางตุ้ง ทางจักพรรดิ์หญิง บู๊เซกเทียนถึงกับได้ถวายการต้องรับถึงหน้าเมือง ด้วยความจำที่ยอดเยี่ยม ท่านจึงได้แปลคัมภีย์พระวินัยและพระสูตรออกมาอย่างสมบูรณ์

พวกนักศึกษาและนักปราชญ์ต่างก็ได้ศึกษาคัมภีร์ที่แปลเป็นจีนทั้งหลายเหล่านี้และเข้าซึ้งถึงพระธรรม ต่างก็เลื่อมไส ได้ขอออกบวชเป็นสงค์ในใต้ร่มกาสาวภัสตร์เป็นจำนวนมาก ศาสนาพุทธนี่เข้ากับนิสัยของคนจีนได้อย่างสบาย มีความเชื่อในเวรกรรมและเกิดใหม่ เรื่องของวิญญาณ และเข้ากับคนจีนได้ในเรื่องเคารพรักและบูชาบรรพบุรุษ(เรื่องมีแค้นต้องชำระคงไม่เกี่ยวนะครับ)  เชื่อในการดำรงชีวิตที่เป็นสะมาถะ ให้เข้ากับธรรมชาติได้ การเก็บความรู้สึกและการตั้งสติ จนถึงขั้นทำสมาธิ ไม่เคยป้ายร้ายป้ายสีศาสนาอื่น พยายามทำตัวให้เข้ากับทุกศาสนาและสอนถึงการอยู่กินอย่างสมถะซึ่งเหมือนกับของศาสนาเต๋าและขงจื๊อ ไม่มีการบังคับให้นับถือหรือเลิกนับถือศาสนาอื่น เชื่อปน ๆ กันหลายอย่างก็ได้ ไม่บังคับเรี่ยรายเงิน นอกจากบริจาคเองด้วยความเชื่อและศรัทธาเท่านั้น แต่ช่วยดูเซียมซีจะให้อัฐก็ไม่ว่ากระไร รับได้ จะแปลให้ตามใจคนบนบาลเลยก็ยังได้

       ในเมืองจีนสมัยนั้นเมื่อบวชแล้วไม่ว่าทางนิกาย เต๋าหรือพุทธ หรือขงจื๊อทางการจะถือว่าเป็นบุคคลยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารหรือแรงงานก่อสร้างของราชการ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้เพราะไม่มีรายได้อยู่แล้ว แถมบุคคลที่ออกบวชแล้ว โทษภัยที่เคยทำ ไม่ว่าจะฆ่าคนตายหนีหนี้ราชการ(อย่างที่ทางการส่งมาเรียนเมืองนอก จบแล้วไม่ยอมกลับ) ภาษี IRS หรือส่วนตัว ทางการจะอภัยโทษให้หมด

ด้วยผลประโยชน์หลายอย่าง เลยมีคนออกบวชเป็นจำนานมาก เพราะชอบข้อยกเว้นฟรี ๆ ข้างต้น เมื่อมีการศึกสงครามขึ้นยามสู้รบจับศึกและเมื่อทางการต้องเกณฑ์คนไปเป็นทหารหรือแรงงาน และเก็บภาษีหนักขึ้นชาวบ้านต่างก็หาทางหลบเลี่ยงความลำบากโดยไปขอบวชเสียเป็นทางออก แถมโอนเอาทรัพย์สมบัติเข้าทางวัดด้วยไม่ยอมเสียภาษีกัน ทางการย่อมแตะต้องไม่ได้. ทำให้ทางการเสียแรงงานและภาษีที่จะเก็บเกี่ยวมากมายก็เลยหาทางออกเก็บภาษีบุคคลที่ต้องการบวช  โดยออกมาในรูปใบอนุญาตขอบวชของทางการ ราคาใบอนุญาตนี้คิดเป็นจำนวนเงินก็มากโขอยู่ เทียบกับราคาข้าวสารร้อยเกวียน หรือ หนึ่งหมื่นอีแปะทีเดียว.

       นี่ก็เป็นทางออกอย่างดีของพวกทำความผิดทั้งหลาย เพื่อไม่ให้ถูกจับไปตัดคอหรือติดคุก สักหน้าเกณฑ์เป็นทหารลิ่วล้อที่ไม่มีวันได้เลื่อนตำแหน่งทั้งชาติ. ก็หาทางออกโดยขอซื้อใบอนุญาตลาบวชของทางการราคาข้าวสารหนึ่งร้อยเล่มเกวียนอย่างนี้แหละ แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าพระสงค์หรือพระเต๋าทุกองค์จะมาจากการซื้อใบอย่างนี้ พระดี ๆ ที่ได้พระราชทานให้ลาบวชในช่วงที่ทางการฉลองอะไรต่าง ๆ ก็มี ไม่ต้องเสียเงิน แต่ต้องผ่านการคัดเลือกจากทางการ หรือชาวบ้านต้องการบูรณะวัดในตำบลของตัวเพื่อไม่ให้เสื่อมโทรมลง ก็ได้ส่งลูกหลานที่เลื่อมใสทางศาสนาทั้งพุทธหรือเต๋าเข้าบวชโดยเศรษฐีเป็นคนออกเงินทำบุญซื้อใบอนุญาตให้.

       ถ้าจะจำพระจักรพรรดิหญิง บูเซ็กเทียน พระเจ้าแผ่นดินหญิงองค์แรกของจีนในราว ๆ พ.ศ. 1230 พระนางเป็นองค์ที่เลื่อมใสศาสนาพุทธอย่างมาก ถ้าจะเคยดูหรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับพระนางจะจำได้ว่า พระนางเคยบวชเป็นพระภิกษุณีในวัดหลวงแห่งหนึ่งหลังจากพระเจ้าองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ แล้วต่อมาก็ได้ลาสิกขาบทออกมาโดยพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อมาเกิดชอบสเน่หาขึ้นมา แล้วก็เลื่อนเป็นพระมเหสี เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสิ้นพระชนม์ก็เลยสถาปนาตัวเองเป็นพระจักรพรรดิหญิงองค์แรก ในประวัติศาสตร์จีน

นักวิชาการที่เป็นลูกศิษย์ของขงจื๊อ ถือว่าพระนางบูเซ็กเทียนนั้นเป็นเมียหรือนางสนมของพ่อ แล้วลูกไปเอามาเป็นเมีย มันเป็นการผิดประเพณีอย่างแรง หรืออีกกย่างที่ไม่ให้ทำคืออาจารย์และลูกศิษย์เป็นผัวเมียกัน อย่างนี้ก็ผิดเหมือนกัน

การที่พระนางมีอำนาจสูงสุดในประเทศนั้นก็มีทั้งคนสรรเสริญและกร่นด่าปน ๆ กันไป ที่สรรเสริญก็เพราะความปรีชาสามารถโดยเฉพาะเรื่องการชลประทาน การติดต่อสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศ การค้าขาย เรื่องการทหาร เรื่องเผยแพร่ความรู้ให้ประชาชน โดยตั้งโรงเรียนและมีการสอบแข่งขันกันเข้ารับราชการโดยสามัญชน

การให้สามัญชนเข้ารับราชการนั้นได้ถูกชนชั้นผู้ดีทักท้วงกีดกัน กลัวเลือดไพร่จะเข้ามาในวงการราชการมากขึ้น แม้การสอบแข่งขันนี้จะมีในสมัยพระเจ้าฮั่นเกาจงแล้วก็ตาม แต่ก็มาเสื่อมโทรมลงเพราะการต้านทานของพวกชนชั้นปกครองที่สืบตระกูลวิ่งเส้นกัน (ซึ่งก็เป็นแบบเดียวกับของไทย ถ้าใครเข้ารับราชการโดยการสอบ เขาถือว่าชั้นบ่อมิไก๊ แต่ถ้าเข้ามาโดยเส้น จะมีหน้ามีตามาก จริง ๆ นะครับ)  พระนางได้ส่งเสริมการสอบแข่งขันแบบนี้ขึ้นมาใหม่ โดยผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งได้เป็น จ้อหงวน ที่สองเรียกว่า ท้ำฮวย ที่สามเรียกว่าป๋างั้ง ต่างก็ให้เข้ารับราชการ หลังจากได้รับอบรมถึง.ธรรมเนียมของราชการและการรับสนองพระราชองค์การ ต่างก็ให้ได้รับตำแหน่งสูง ๆ ทั้งนั้น

ที่สำคัญ พระจักรพรรดิหญิงองค์นี้ได้ทรงส่งเสริมบูรณะศาสนาพุทธให้รุ่งเรืองขึ้นมากมาย พร้อม ๆ ก็ส่งเสริมศาสนาอื่นไปด้วย แต่ก็ไม่วายถูกนักประวัติศาสตร์บิดเบือนประวัติส่วนตัวว่าเป็นหญิงร่านสวาท มากชู้ โดยเฉพาะพวกถือปราชญาของขงจื๊อ ที่เรียกพวกเขาว่า ยู่ เพราะเขาถือว่าผู้หญิงไม่มีคำบัญชาของสวรรค์มาเป็นกษัตริย์ ผู้หญิงมีหน้าที่ทำลูก ทำครัว ดูแลลูกผัวเท่านั้น

 

                            กลับไปตอนที่ 4                                                   อ่านต่อ ตอนที่ 6

 

                                            ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                                                  Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California