หลวงจีน

                                                                                                      ตอนที่ 6

                                                                                                                                               นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

  

พระพุทธรูปในวัดจีน

จนถึงสมัยพระตงจงในราชวงศ์เดียวกัน ปี พ.ศ. 1257 ทางการได้ให้พระสงฆ์ 12,000 องค์ลาสิกขาบท  เพราะไม่ได้ศึกษาปริยัติธรรมระหว่างบวชอยู่ เรียกว่าบวชเสียข้าวสุก จำพวกอาศัยวัดอยู่และกิน ต่อมาก็มีการเข้มงวดขึ้นต่อผู้ที่จะบวช จะต้องท่องสวดพระสูตรได้ 1,000 หน้า ถ้าสามารถผ่านการทดสอบแล้วบวชแบบนี้ก็ไม่ต้องเสียภาษีค่าบวช อย่างไรก็ตามตอนหลัง ๆ ข้อบังคับการศึกษาพระสูตรก็ค่อย ๆ เลือนหายไป คงเหลือแต่เก็บภาษี แสนอีแปะเหมือนเดิม. อย่างไรก็ตามมีการบวชโดยไม่ขออนุญาติทางการก็มีมาก มีการสำรวจในราชกาลพระเจ้าบุ่นจงในปี พ.ศ. 1375. ว่ามีพระภิกษุและภิกษุณีเถื่อนถึง เจ็ดแสนองค์.

                                                                               

พระพุทธศาสนาในจีนมีทั้งรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมเพราะพระเจ้าแผ่นดินทรงหรือไม่ทรงโปรด เพราะมีลัทธิเต๋าคอยเป็นคู่แข่งขันอยู่เสมอ ครั้งแรกก็สมัยของพระเจ้าบู่จง พ.ศ. 1389 พระองค์เลื่อมใสในลัทธิเต้า เพื่อให้แสดงถึงความยุติธรรมที่จะเชิดชูลัทธิเต๋า ก็จัดให้มีการโต้วาทีครั้งยิ่งใหญ่ต่อหน้าพระที่นั่ง ระหว่างพระภิกษุกับนักบวชเต๋า ปรากฏว่านักบวชเต๋าปราชัย ถึงแม้จะปราชัยในการโต้วาทีแต่พระเจ้าบู่จงที่ลำเอียงเข้าข้างลัทธิเต๋า ก็คงดำเนินการยุบศาสนาพุทธ โดยให้พระภิกษุและภิกษุณีลาสิกขาเสีย สองแสนหกหมื่นรูป ริบที่ดินวัด ยุบวัด หลอมละลายพระพุทธรูปเผาคำภีร์เป็นต้น ทำให้ศาสนาพุทธในจีนเสื่อมโทรมไปเกือบหลายร้อยปี ระหว่างนั้นเมื่อเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าซวนจงขึ้นครองราช พ.ศ. 1391 ถึงมีราชองค์การให้หยุดการทำลายวัดทางพุทธแล้วเอานักบวชเต้าที่ก่อการไปประหารชีวิตเสีย แล้วให้มีการบวชใหม่โดยทดสอบความรู้ ออกบัตรอนุญาติให้และอุปสมบทฟรี ๆ โดยทางการ มีการปฏิสังขรณ์วัดที่เสื่อมโทรมหรือถูกทำลายโดยเฉพาะวัดใหญ่ ๆ แต่ความเจริญก็คงไม่เหมือนเดิม กว่าจะเจริญเท่าเดิมก็หลายร้อยปี

นี่เพียงแต่ในราชวงศ์ต้น ๆ ของเมืองจีน ต่อ ๆ มาก็คงคล้าย ๆ กันอย่างนี้มาเรื่อย และศาสนาพุทธเกือบศูนย์สิ้นทั่วประเทศจีน ตอนคอมมิวนิสต์ขึ้นครองอำนาจ เกือบห้าสิบปี เมื่อเปลี่ยนนโยบายในพรรคใหม่ โดยการนำของเต้งเสียวผิง ให้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนามากขึ้นก็ชักมีคนกลับเข้ามาบวช แล้วก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  เห็นหรือยังครับกับความจริง อนิจจังและอนัตตาแล้วก็ต้องทนทุกข์ของเหล่าชาวพุทธในเมืองจีน ยุบหนอพองหนออย่างนี้มาเรื่อย ๆ

       เนื่องจากในสมัยโบราณ วัดทั้งหลายเหล่านี้ต้องพึ่งตัวเองในการเลี้ยงชีพ โดยมากเมื่อสร้างวัดขึ้นมาแล้วชาวบ้าน เศรษฐี หรือขุนนางจะยกที่ดินรอบ ๆ ให้เป็นที่เก็บเกี่ยวหรือให้เช่าพอให้พระยังชีพอยู่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวบ้านตลอดเวลา เพราะบางวัดอยู่ถึงในที่เปล่าเปลี่ยวอย่างโดยเดี่ยว(ดูแล้วสวยตอนถ่ายรูป แต่คงไม่มันส์ถ้าต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป) บางครั้งก็ถูกจี้ปล้นเอาทรัพย์สินของวัดไปด้วย วัดเลยต้องมีกำแพงและประตูที่หนาแน่น แถมบางวัดยังมีอาวุธป้องกันตัวไปด้วย ฝึกมวยจีนเพื่อส่งเสริมสุขภาพ. วัดที่มีชื่อโด่งดังมากที่สุดก็คงไม่พ้นวัดเส้าหลิน. 

       การที่ศาสนาพุทธมีความเชื่อในเรื่องเวรและกรรม มันก็เป็นการรับรู้ถึง ชาติหรือปางใน อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นพระพุทธรูปในวัดจีน สำหรับการบูชากราบไหว้ ก็มี สามองค์ คือมีพระพุทธรูป ในอดีต ชื่อว่า พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่ทรงคุณในการรักษาโรคทางจิตใจ และก็มีผู้รู้กล่าวว่าเป็นพุทธเจ้าแต่อดีต คนจีนเรียกว่าเยี่ยงเต็งฮุดโจว้ คือพระพุทธเจ้าในอดีต ชื่อภาษาบาลีเรียกว่า Dipamkara ส่วนองค์ที่อยู่ตรงกลาง เรียกสิกเกียม่อนี้ฮุดโจ้ว คือพระพุทธเจ้าของเรานี่เอง ส่วนองค์สุดท้าย เรียกว่าพระศรีอารยเมตไตรพุทธเจ้า บางทีก็เรียกว่าพระสังกัจจัยน์ หรือที่พระสงค์ในหนังจีนบู๊ลิ้นจะยกห้านิ้ว มือข้างเดียว แล้วพูดว่าอนีธ่อฮู้ด ในความศรัทธาของคนจีน พระอนีธ่อฮู้ด สำคัญกว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเสียอีก เพราะเป็นองค์ที่สามารถดลบันดารให้สิ่งต่าง ๆ แต่ผู้ที่บูชา ท่านมีรูปร่างอ้วนกลม พุงยื่น มีถุงพาดไหล่ซี่งข้างในถุงมีของบรรจุมากมาย เหมือนซานตาครอสนั่นแหละ ดังนั้นถ้าเข้าอุโบสถวัดจีน ก็ต้องกราบไหว้พระพุทธรูปที่ถูกต้องตามความเชื่อของเรา แล้วถ้าเกิดไหว้ผิดองค์ก็คงไม่ทำผิดหรือบาปอะไรหรอก เพราะคนอื่นเขาก็บูชามานานแล้ว ไม่นับถือก็อย่าลบหลู่

          นอกจากพระพุทธรูปปางต่าง ๆ แล้ว ยังมีพระอรหันต์ เป็นองค์ปกป้องพระศาสนาอีก หรือเรียกตามภาษากงฟูคือ ผู้พิทักษ์ธรรม เดิมมีห้าร้อยรูป และในนี้ก็มีพระหลู่ตี้ซิมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วย แต่ที่ต้องอยู่เพื่อรอให้พระศรีอารยเมตไตรมาจุตติโปรดสัตว์ก่อน ถึงจะนิพพานแตกดับได้ ก็มีอยู่สิบหกองค์ แต่ตอนหลังก็เพิ่มให้เป็นสิบแปดองค์ เรียกว่า กิมกังหล่อหั่ง แปลว่าพระอรหันต์องค์ทอง ต้องไปดูที่วัดมังกร แถวเจริญกรุง หน้าตาแต่ละองค์ดุ ๆ น่ากลัวทั้งสิ้น ตอนเด็ก ๆ ผมมองหน้าเหล่าหล่อหั่งเหล่านี้แล้ว ทำให้ฝันร้ายไปหลายคืน แม่ผมบอกว่าถ้าผมทำบาปพระหล่อหั่งจะมาลงโทษผม ผมเลยเป็นเด็กดีจนถึงเดี๋ยวนี้ไงครับ คือ ความดีไม่เคยทำ ความชั่วไม่เคยปรากฏ ก็เรียกว่าคนดีไง  

   อาตี๋ชอบอ่านหนังสือ

อาตี๋อย่างผมนี่นะครับ ต้องยกให้ว่าจำพวกตี๋เครซี่  คือบ้าอ่านหนังสือและดูหนังจำพวก กองฟู หรือที่เมืองไทยเขาเรียกว่าบู๊ลิ้ม  ถ้าจะว่าแล้วผมนี่ควรจะต้องเรียกว่ารุ่นพี่ทางยุทธจักรทีเดียว

          ตอนที่ผมติดหนังสือบู๊ลิ้มนั้น ผมยังเรียนกวดวิชา เนื่องจากเรียนแต่ตอนกลางคืน กลางวันผมก็ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ หาเงินไปเรื่อย ๆ เป็นค่าเล่าเรียน จึงมีโอกาศเฝ้าร้านกาแฟบ่อย ร้านกาแฟนี่ก็เป็นร้านคนจีน เจ้าของชื่อว่า ปุ้ยซิ้ม แปลว่ายายซิ้มอ้วน เป็นร้านผัวเมียช่วยกันทำ แน่นอนร้านกาแฟจีนก็ต้องมีหนังสือพิมพ์จีน ร้านนี้มีอยู่สองฉบับ คือ จงหงวนยึเป้า กับซินเซียนเยอะเป้า ผมนะไม่สนใจเรื่องข่าวของจีนแดงหรือจีนขาวหรอก แต่โดยมากจะเป็นข่าวของไต้หวัน ส่วนจีนแดงก็มี แต่เป็นการถูกสาดโคลนใส่ไข่เน่าเสียมากกว่า ตามนโยบายของผู้ปกครองเมืองไทยสมัยนั้นที่เดินตามก้นอเมริกัน ใครฝักใฝ่จีนแดงหรือคอมมิวนิสต์ก็มีหวังถูกขังลืม ตามกฏหมายป้องกันคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น ซึ่งยิ่งมาในสมัยของนาย แห กรัยวิเชียร อุ๊ย ! ไม่ใช่นั่นมันชื่อพ่อของนาย ธนินทร์ กรัยวิเชียรเขา นายหอยโข่งนี่กำแหงใหญ่ พอได้มีอำนาจยิ่งกำเริบ ทำให้การใช้กฎหมายคอมมิวนิสต์อย่างตามอำนาจ เรียกว่า Abused ดังนั้นหนังสือพิมพ์จีนที่ถูกเขาจับตาอยู่ตลอดเวลาก็ต้องเสงี่ยมเจียมตัว ลงแต่เรื่องสรรเสริญนายพลเจียงไคเช๊กเท่านั้น ที่แท้แล้วคนจีนในสมัยนั้นเขาสนใจแต่เรื่อง ตึ้งซัว แปลว่าภูเขาของ(ราชวงศ์) ถัง แปลว่าแผ่นดินใหญ่จีนเท่านั้น     

หน้าหนังสือพิมพ์ที่ผมสนใจมากที่สุดคือหน้าของนิยายกองฟู โดยเฉพาะคอลัมน์มังกรหยก ภาษาจีนอ่านว่าเซี่ยเตี้ยวอิงเสียงต้วน ผมคุยได้เลยว่าผมอ่านเรื่องมังกรหยกมาก่อนใคร ๆ ก่อนที่จะมีการแปลโดย ว. ณ เมืองลุงเสียอีก แน่นอนผมก็ต้องอ่านหนังสือจีนเป็นแหละครับ ถึงกล้าไปแย่งหนังสือพิมพ์จีนเขามาอ่าน

          มันทรมานจิตใจเหลือเกินในการติดตามนิยายบู๊ลิ้มเรื่องนี่ เพราะว่านักแต่งนายกิมย้งเขาส่งเรื่องโดยตรงมาจากฮ่องกงให้ลงแค่วันละสามคอลัมน์เท่านั้น ไม่มากไม่น้อย และคอลัมน์นี่ก็เป็นการบรรยายรูปภาพประกอบ ก็เหมือนอ่านหนังสือรูปภาพการ์ตูน ที่มีการบรรยายใต้รูปอย่างงั้นแหละ วันละสามรูปไม่มากไม่น้อย แถมวันอาทิตย์ไม่มีอีกด้วย

          ไม่ใช่ผมจะติดคนเดียว ลูกค้าร้านกาแฟทุกคนติดเรื่องนี้กันหมด บางทีผมต้องสั่งกาแฟมาดื่มกับปาท่องโก๋ หมดไปสองถ้วยถึงมีสิทธิ์แย่งเขามาอ่านได้ เพราะนั่งกับถ้วยกาแฟเปล่า อาซิ้มอ้วนอีไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ พอได้หนังสือพิมพ์ก็เปิดอ่าน แล้วก็อ่านแป๊บเดียวจบสามรูปสามคอลัมน์ ส่วนเรื่องอื่นเช่นนางพญาผมขาวที่ออกมาพร้อมกันนั้น ผมไม่สนใจอ่านหรอกครับ ผมก็จำไม่ได้ว่าอ่านตั้งกี่ปีเรื่องถึงจบลงได้ ถึงเดี๋ยวนี้ผมยังจำภาพวาดพวกนั้นได้ลาง ๆ เช่นรูปของนางสาวกิมย้งแกล้งเอาเอี๊ยงกงจื้อ โดยให้หินหล่นลงมาทับจนขาหัก

          ผมคุยอยู่ตั้งนานเรื่องหนังสือบู๊ลิ้มเล่มนี้นั้น เพราะนายกิมย้งช่างเอาประวัติศาสตร์จีนที่เกิดขึ้นสมัยนั้นเป็นฉากให้ตัวพระเอกนางเอกได้ไปกิดในสมัยซ่ง  เลยทำให้ผมเข้าใจประวัติศาสตร์จีนได้มากมาย นั่นเป็นช่วงหนึ่งของปลายราชวงศ์ซ่งใต้ ราว ๆ ปี พ.ศ. 1800 ก่อนจะเสียประเทศให้ชนเผ่ามงโกลไป และเผ่ามงโกลก็ได้มาตั้งราชวงศ์หยวนขึ้นแทนในกาลต่อมา

          ผู้อ่านที่เคยดูหนังจีน ทีวี เรื่องเปาบุ้นจี้นหรือขุนศึกตระกูลหยังไหม นั่นมันเกิดในสมัยของราชวงศ์ ซ่งเหนือ ซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองไคฟง เปาบุ้นจี้นถึงได้ว่าความสืบสวนกันที่ศาลไคฟงนั่นแหละครับ นี่ก็อยู่ก่อนหน้ามังกรหยกสักราว ๆ ร้อยกว่าปีได้

            

                          กลับไปตอนที่ 5                                                 อ่านต่อ ตอนที่ 7  

 

                                            ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                                                  Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California