ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

                          หลวงจีน

                                                                                     ตอนที่ 7

                                                                                                                      นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

  

กว่าจะกลายเป็นเมืองจีน

            ก่อนที่ผมจะพาท่านผู้อ่านบุกเข้าประเทศจีนไปเป็น ตึ้งนั้ง ก็ขอให้เข้าใจว่าความต้องการของผมก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่เป็นนักเลงท่องเที่ยวในยุทธจักรได้เรียนรู้ถึงความตื้นลึกหนาบางของวงการยุทธจักรที่กว้างขวางเท่าเมืองจีน จะได้รู้ถึงกฎและธรรมเนียมและภาษาของแต่ละท้องถิ่นจนสามารถที่จะแยกแยะฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม จะได้ท่องเที่ยวและประกอบวีรกรรมช่วยเหลือผู้ถูกฝ่ายอธรรมรังแกเอา (ผมชักเวียนหัวว่าจะ ธรรม หรือ ไม่ธรรมดี)

                        คนจีนเองก็บอกว่าประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ยืนนานกว่าห้าพันปี แต่ฝรั่งเขาก็เขียนว่าที่ค้นพบมีแค่สี่พันปีเท่านั้น ก่อนหน้านั้นไม่รู้แน่ มักจะเป็นเรื่องเทพนิยายและคำเล่าลือ บอกเล่าต่อ ๆ กันมาเสียมากกว่า เช่นจักพรรติเหลือง มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ชาวจีนก็ฝอยจนน้ำลายไหลยืด แถมคุยไปบ้วนน้ำลายไปด้วยให้มันเต็มพื้นไปหมด(คิดว่าคงเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้พื้นกระดานแข็งแรง โดยน้ำลายที่มีฤทธิ์ด่างอ่อน ๆ อยู่)  ผมก็ไม่เข้าใจว่าคนจีนจะต้องบ้วนน้ำลายกันบ่อย เพราะน้ำลายมีมากเสียจริง ๆ เมื่อบ้วนน้ำลายจนหมดปากแล้ว ท่านผู้รู้ก็พูดให้เป็นนัยแบบกระซิบว่า รู้หรือเปล่าจักรพรรดิเหลืองนี้ ตอนหลังก็ขึ้นสวรรค์ครองราชย์เป็น เง๊กเซี่ยงอ่องเต้ หรือเป็นผู้ครองสูงสุดของสวรรค์นั้นเทียว เหมือนพระศิวะชองฮินดู หรือ Zeus ของเทพนิยายกรีซเขา

                        คนจีนนี่มาจากไหนกันแน่ถึงได้มาอัดแน่นอยู่แถวเมืองซีอัน ลู่หยัง ไคฟอง อันอยู่แถบทางเหนือของเมืองจีนในสมัยแรก  ๆ เมื่อเริ่มประเทศจีน  เขาประมาณว่าในสมัยราชวงศ์ถังมีประชากรทั่วประเทศจีนแค่ 80 ล้านคนเท่านั้น และตอนสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีแค่ 500 ล้านคน แต่ตอนนี้แค่ หนึ่งพันสองร้อยล้านคนเท่านั้นแหละ คือมากกว่าไทยนิดหน่อย ซึ่งเรามีถึง หกสิบหกล้านคน ถึงแม้จะมีนโยบายควบคุมกำหนดอย่างเข้มแข็งก็ตามแต่ เหมือนดังที่คนอเมริกันไปเที่ยวที่เมืองจีน และเกิดปากคันถามคนจีนที่นั่นว่า “Do you have election in this country” ก็ได้คำตอบจากคนจีนว่า “Yes! many erections every night that is the problem.” นั่นแหละครับเป็นคำตอบที่ดีและถูกต้อง

                        คำเล่าลือของคนจีนเองนั้น เชื่อว่าการสร้างโลกนั้นมาจากนาย พังกู เดิมทีนายพังกูนี้เกิดจากในไข่ใบหนึ่ง ใครมาไข่ไว้ ไม่ยักมีใครบอก นายพังกูนอนหลับตาและกรนอยู่ในไข่นานถึงเวลา 18,000 ปี แล้ววันหนึ่งพอตื่นขึ้นมาอีก็ยืดแขนบิดขี้เกียจ เผอิญเอาสิ่วที่ติดมือมาทิ่มเอาที่เปลือกไข่จนร้าว แล้วอีกมือก็เอาค้อนฟาดบนสิ่ว จนเปลือกไข่แตกออก แล้วก็คลานออกจากเปลือกไข่ แต่ว่าภายนอกไข่มันมืดมิดไปหมด เพราะไข่ใบนี้มันวางอยู่ระหว่างฟ้าและดิน ซึ่งมาอยู่ชิดติดกัน เหมือนมุดอยู่ในถ้ำเพดานเตี้ย ๆ แคบ ๆ อย่างงั้นกระมัง อีต้องเอาสิ่วและค้อนตอกให้ฟ้าและดินแยกออกจากกันวันละนิด จนแยกออกจากกัน จากนั้นก็ค่อยเอามือดันให้ห่างจากกัน ขณะเดียวกัน ตัวพังกูก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ กินเวลาถึง 18,000 ปี เขาฝอยต่อว่าตัวเขายาวขึ้นวันละหนึ่งเมตร จนกระทั่งแน่ใจว่าฟ้าและดินห่างกันจนไม่มีทางมาติดกันอีก ดั่งที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ นายฟังกูก็นอนลงพักเหนื่อย จากนั้นก็ไม่เคยตื่นอีก คือตายแบบนอนตัวยาว ร่างกายส่วนต่าง ๆ ก็เปื่อยกลายเป็นวิชาภูมิศาสตร์ที่พิสดารฉบับที่เราไม่เคยได้เรียนในโรงเรียน คือลมหายใจตอนมีชีวิตอยู่ก็กลายเป็นลมและเมฆ เสียงของความเหนื่อยตอนยกฟ้าก็กลายเป็นเสียงฟ้าผ่า ตาข้างซ้ายเป็นพระอาทิตย์ ส่วนตาข้างขวาเป็นพระจันทร์ แขนขาตอนตายไปแล้วละลายกลายเป็นภูเขาแทบต่าง ๆ ของเมืองจีน (ไม่พยักยอมไปอยู่ในต่างประเทศบ้าง) เลือดก็ไหนจากตัวกลายเป็นแม่น้ำ ส่วนเส้นเลือดก็กลายเป็นถนนเส้นใหญ่ทั้งหลาย ส่วนเนื้อหนังกลายเป็นดินและต้นไม้ ขนบนตัวก็กลายเป็นทุ่งหญ้าและดอกไม้ ส่วนขนบนหัวและหนวดเคราก็กลายเป็นดวงดาวในท้องฟ้า(ข้อนี้ฟังแล้วไม่เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์เลย) ฟันและกระดูกก็กลายเป็นก้อนหินและโลหะต่าง ๆ ไป ที่แย่ที่สุดก็ตัวหมัดและโลนบนตัวแก่ก็กลายเป็นมนุษย์ชนชาติต่าง ๆ ไป เรื่องมันก็จบกันแบบดื้อ ๆ อย่างนี้แหละครับ อย่าไปตั้งปัญหาถามคนเล่าเลย เพราะพอเล่ามาถึงตอนนี้อีก็ต้องขากถุยน้ำลายอีกสักสี่ห้าที สงสัยว่ากว่าจะเล่าเสร็จตอนนี้น้ำลายคงแห้งหมดปาก ยังไรก็ตามตอนนี้ต้องเดินหลบหน่อยจะดีกว่า เพราะขากสุดท้ายนี้คงบ้วนแรงหน่อย เดี๋ยวน้ำลายจะกระเด็นมาโดนขากางเกงเข้า

                       ส่วนคนจีนนั้นมาจากไหน นั้นยังมีอีกตำนานหนึ่ง แล้วผู้เฒ่าที่ชอบบ้วนน้ำลายก็เล่าต่อว่า เมื่อครั้งโลกยังอ่อนอยู่ มีพี่น้องชายหญิงคู่หนึ่ง ได้หลบฝนเข้าไปอยู่ในฟักน้ำเต้าใหญ่  (แบบเดียวกับที่พระจี้กงเอาไว้บรรจุเหล้านั่นแหละ อย่าถามผมว่าพระจี๊กงคือใครอีกเล่า ขืนให้ผมเล่าต่อ อีกสี่ห้าอาทิตย์ก็ยังไม่จบ) เพราะลุ่ยกงที่เป็นพระเจ้าแห่งฟ้าผ่าและฝนมาแอบบอกเอาไว้ก่อนว่าจะมีน้ำท่วมโลกจากฝนตกหนักเป็นเดือน พี่น้องคู่นี้เลยรอดตาย เพราะหลบเข้าไปในน้ำเต้าเสียก่อน (อย่าถามผมเลย ว่าน้ำเต้านี่มันใหญ่ขนาดไหน เซ้าซี้ผมมาก ๆ เดี๋ยวก็เลยฝอยไม่ออก)

           เมื่อฝนตกหนักจนน้ำท่วมโลกทำให้มนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ ตายศูนย์สิ้นหมด  จวบจนฝนหยุดและน้ำแห้งแล้ว พี่น้องทั้งสองก็ค่อย ๆ ปีนออกจากน้ำเต้ายักษ์ มองเห็นท้องฟ้าแจ่มใส แต่ไม่เห็นมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเลย พี่ชายที่มีชื่อว่าฟกฮี ก็บอกกับน้องสาวที่ชื่อว่า หนูกวาว่าเรามามีครอบครัวสร้างโลกกันเถิด แต่ทว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ตอนนั้น ปรมาจารย์ขงจื๊อยังไม่เกิด เลยห้ามไม่ทัน เพราะขงจื๊อท่านตั้งกฎห้ามไว้ว่าพี่น้องแต่งงานกันไม่ได้ ผิดประเพณี แต่พระเจ้าเบื้องบนว่า อั๊วขอยกเว้นลื้อสองคนสักครั้ง (พระเจ้าต้องพูดลื้อ ๆ อั๊ว ๆ ฟังแล้วแม้ไม่สุภาพ แต่เพราะว่าพระเจ้าเขาเป็นคนจีนนะซี่ครับ จะไปพูดว่า ข้า ฯ หรือ กระผมอย่างสุภาพก็คงไม่เป็น ผิดประเพณีพระเจ้าหมด) ทั้งสองก็เลยมีครอบครัวกัน แล้วก็ทำการสร้างมนุษย์ แต่ว่ามันช้าเหลือเกินกว่าจะได้มาสักหนึ่งมนุษย์ แถมต้องเจ็บท้องแทบตายตอนจะคลอด หนูกวาอีว่าอย่างนี้อั๊วซี๊แหงแก๋ อีเลยหาวิธีใหม่ หาวิธีโคลนลูกแบบใหม่ (Cloning) เอาดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปคนแล้วก็เอาขี้ไคลของตัวแปะไว้หน่อย เป็นตัวแบบพิมพ์ DNA จะได้บอกว่ามาจากจีนพันธุ์แท้ของเขาจริง ๆ แล้วก็เป่าด้วยน้ำลายหนึ่งเพี้ยง ให้เป็นมนุษย์เดินได้นะบัดนั้น แบบนี้ทำได้เร็วกว่า แต่ก็ยังช้าอยู่ดี เลยเอาดินเหนียวมาละลายน้ำกลายเป็นน้ำโคลนแล้วก็แคะขี้ไคลลงไปมาก ๆ หน่อย แล้วสาดไปทั่วพื้นดิน แล้วก็เสกให้น้ำโคลนที่เกาะตามพื้นกลายเป็น   มนุษย์ขึ้นมา ทีนี้เลยเกิดเป็นมนุษย์มากมายตามต้องการ

                            ผู้เฒ่าที่เล่า บอกว่ามนุษย์ที่หนูกวาสร้างด้วยมือนั้นกลายเป็นมนุษย์ที่มีศักดินาสูงเป็นผู้ครองบ้านครองเมือง หรือเสนา คนร่ำรวย ส่วนที่มาจากโคลนนั้นก็เป็นเพียงแค่ชาวนา หรือกรรมชีพจนกรอบ พูดเสร็จผู้เฒ่าก็บ้วนน้ำลายสามที ไม่รู้ว่าที่ถุยเพราะไม่พอใจในเรื่องความแตกต่างในวรรณะของมนุษย์หรือเพราะนิสัยชอบบ้วนน้ำลายกันแน่

                             เมื่อฟกฮีเห็นเมียสร้างมนุษย์ขึ้นมามากมายขาดคนปกครองคนพวกนี้ คงจะเกิดปัญหาทีหลัง ก็เลยบอกเมียว่าอั๊วจะเป็นคนปกครองคนพวกนี้เอง หนูกวาฟังแล้วก็เพียงตอบว่า ฮ๊อ แล้วก็สะบัดหางเดินหายไป เนื่องเพราะหนูกวาไม่ได้เป็นมนุษย์เต็มตัว มีท่อนล่างเป็นหางมังกร กษัตริย์ฟกฮี นี่สอนให้มนุษย์รู้จักการจับปลา การสร้างร่างแหขึ้น รู้จักความถูกและผิด โดยหลักของยิน แยง (ขาวและดำ หรือมืดกับสว่าง)

                             กษัตริย์องค์สืบต่อมาก็คือซุ่ยยิ้น สอนให้รู้จักการก่อไฟและใช้ไฟ รู้จักการหุงต้ม ส่วนองค์ที่สามนั้นคือกษัตริย์ ซิงหนง เป็นผู้ค้นคิดการทำนา การใช้ยา การค้าชาย

                             กษัตริย์เริ่มแรกสามองค์นี่เป็นแบบเทพกลาย ๆ  แต่ละองค์ก็มีตำแหน่งสูงเงินเดือนดีมีรถประจำตำแหล่งอยู่บนสวรรค์  ไม่ยอมรับเงินเดือน เพราะเงินจากขายสต๊อกโดยการปั่นหุ้น และโมโนโปลี่หลายบริษัทก็รวยโขอยู่แล้ว แม้กระทั่งคนทำสวน คนชัดพื้นยังมีเงินเป็นร้อย ๆ ล้านเลย ที่มายุ่งกับโลกมนุษย์ก็เพราะคำสั่งของผู้ใหญ่เบื้องบน

                             เมื่อมนุษย์ทำมาหากินก็ต่างแก่งแย่งกัน เพื่อหาทางร่ำรวยและมีอำนาจ ตั้งและแบ่งพรรคการเมือง คอยหาเสียบแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงที่หาเงินดีเช่นมหาดไทย คมนาคม ฮาโหล อุตสาหกรรม เกษตร พาณิชย์ จนกระทั่งสาธารณะสุขที่รักษาคนไข้ก็ยังจะไปตอดยาของคนไข้ได้อีก

                           อุ๊บ! เขียนเพลินไป โดดไปยุ่งกับการเมืองเสียนี่ เมื่อคนจีนมีมากต่างก็แย่งกันเป็นใหญ่ตั้งเป็นก๊กเล็กก๊กน้อย รบราฆ่าฟันกันเอง เลิกทำมาหากิน เลยเกิดมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ที่เฉลียวฉลาดและมีคุณธรรมชื่อว่า หวังตี้ แปลว่าพระเจ้าเหลือง เพราะอีมาเป็นใหญ่ก็แถวทางเหนือของจีนแถบแม่น้ำ หวังเหอ แม่น้ำเหลือง เนื่องเพราะที่ดินแถบนี้มันเหลืองเพราะดินทรายสีเหลืองแดงที่พัดมาจากถิ่นทุ่งหญ้าและทะเลทรายสีเหลือง น้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำหวังเหอเลยเหลืองแดงไปด้วยดินโคลน พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ที่เกิดจากแถวนี้เลยถูกขนานนามตามแม่น้ำนี้

                             เดิมหวังตี้นี้เป็นเพียงหัวหน้าเผ่าคนจีนฮั่นเล็ก ๆ แต่เนื่องจากมีความสามารถในการปกครอง มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีหลักธรรมดีในหมู่ชน การทำมาหากินที่ได้ผล เช่นการทำนา ล่าสัตว์ การเลี้ยงปศุสัตว์ เลยทำให้เกิดมีอำนาจและความร่ำรวยมากมายจากการค้าขาย ชนเผ่าอื่นก็เข้ามารวมด้วย และด้วยการปกครองที่เข้มแข็ง ก็สามารถป้องกันเผ่าอื่นที่มารังแกให้พ่ายแพ้ไป เลยมาขออยู่เป็นชาติเดียวกัน กลายเป็นประเทศฮั่นที่อยู่แถบตรงกลางลุ่มน้ำแม้น้ำเหลือง  จนเรียกว่าประเทศนี้ว่า ตงก๊ก (จงกั๊ว ภาษาจีนกลาง) แปลว่าประเทศที่อยู่ตรงกลางของแม่น้ำหวงเหอ เมื่อหวงตี้สิ้นพระชนย์ สวรรค์เบื้องบนเลยเรียกให้เข้าร่วมคณะรัฐมนตรีสวรรค์ด้วย แล้วเพราะรู้จักเลี้ยงลูกน้องดี เลยได้เป็นเซียนที่ปกครองสวรรค์ภาคกลาง เลยได้เป็นเง็กเซี่ยงฮ่องเต้

 

                   กลับไปตอนที่ 6                                    อ่านต่อ ตอนที่ 8  

 

                                               

 

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California