ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

                          หลวงจีน

                                                                                     ตอนที่ 10

                                                                                                                      นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

ลัทธิเต๋า ตอนสอง

 

ความมืดความสว่างก็เหมือนกัน มันคือ สว่างมากสว่างน้อย สว่างน้อยมาก ๆ จนไม่เห็นที่เราเรียกว่ามืด เรื่องวิทยาศาสตร์ขอจบแค่นี้ ขืนคิดตามเล่าฮู เดี๋ยวจะพูดกับคน เขาไม่รู้เรื่อง

             ที่แท้แล้วปรัชญาของเต๋า ตามตำราเต๋าตี้เจง  คำว่า ตี้ ที่ต่อจากคำว่า เต๋า แปลว่า คุณธรรม หรือความเที่ยงตรงของมนุษย์ มันเป็นปรัชญาล้วน ๆ ให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรามชาติ ไม่ใฝ่หาอำนาจและเงินทองจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ส่งเสริมความรุนแรงในทุกรูป โดยเฉพาะสงคราม สำหรับการปกครอง ให้รัฐบาลเข้าควบคุมประชากรให้น้อยที่สุด(คือเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ และแก้ไขกันเอง รัฐอย่าเข้ามายุ่ง) ออกกฎหมายให้น้อยที่สุด เก็บภาษีให้น้อยที่สุด และไม่ส่งเสริมการขยายดินแดน(อาจเพราะตอนนั้นเป็นสมัยสงครามชุนชิว มีรัฐเล็กรัฐน้อยมากมาย ต่างสู้รบเพื่อยึดครองพื้นที่กัน ประชากรถูกฆ่าตายกันมากมาย)

             ลัทธิเต๋าสอนให้อยู่แบบสมาถะ ป้องกันความแก่ ด้วยกรรมวิธีป้องกันโรค และการรักษาโรค ให้รู้จักคิด และค้นหาวิธีเพื่อหลีกเลี่ยงภัยธรรมชาติ  รู้จักตรวจตราดูเวลาของธรรมชาติ ดูเวลาฝนตกและระดับของน้ำฝน อากาศจะร้อนมากหรือเปล่า หน้าหนาวจะหนาวมากหรือน้อยในปีนั้น ๆ  ทำให้ผลการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเปลี่ยนไป  การป้องกันและกำจัดภัยพิบัติเหล่านี้ เลยได้วิชาการพยากรณ์อากาศ  ถึงแม้จะมีการสังเกตและคาดคะเนกันเป็นสิบ ๆ ปี แต่การคาดเคลื่อนก็มีมาก เพราะความไม่แน่ใจเลยต้องหวังพึ่งพระผู้เป็นเจ้า ทำให้ถูกต้องว่าพระเจ้าองค์ไหนที่ต้องบูชา การสวดภาวนาสรรเสริญพระเจ้าโดยการใช้ภาษาที่เพราะหู และการตั้งวิธีบูชาให้ถูกหลักการและเวลาของการบูชา  ตามกาลที่ถูกต้องของพระเจ้านั้น ๆ  รวมทั้งการไล่ผีสาง ทุกอย่างต้องมีวิธีการที่ถูกต้อง ถ้าผิดไปจากนี้ อาจนำความพิบัติมาสู่ตัวได้ แม้กระทั่งการดำรงชีวิตของมนุษย์ นั่นคือเอาระบบผีสางเทวดาเข้าประปนกันมากขึ้น (Superstitious) และมีความเชื่อแปลก ๆ อย่างเช่นเด็กเริ่มใช้มือซ้ายจะต้องรีบบังคับให้ใช้มือขวา มิเช่นนั้นจะทำให้ตัวเองไม่เจริญ และไม่อาจนำพาครอบครัวให้เจริญไปได้

             เพราะการเขียนหนังสือหรือการทำงานจะต้องใช้มือขวา ห้ามใช้มือซ้ายเด็ดขาด เพราะเครื่องมือเครื่องไม้มีไว้สำหรับคนใช้มือขวาหมด และอาจทำให้พระเจ้าตำนิเอา ยิ่งถ้าต้องไปสอบจ้อหงวนด้วย พอพนักงานเห็นว่าเขียนพู่กันด้วยมือซ้ายจะไล่ออกจากสนามสอบทันทีเลย

                      เนื่องจากสมัยก่อนความรู้ของการเกิดเหตุการณ์ธรรมชาติย่อมไม่มี เชื่อว่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ย่อมต้องอยู่ใต้การควบคุมของพระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง พระเจ้าฝน พระเจ้าฟ้าผ่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ พื้นแผ่นดินก็ต้องมีพระเจ้าดูแล ก็มีพระเจ้าทะเล แม่น้ำ ขุนเขา เป็นต้น

          พระเจ้าใหญ่เล็กทั้งหลายย่อมต้องอยู่ใต้การควบคุมของพระเจ้าใหญ่อีกหลายองค์ องค์ที่สูงสุดก็คือพระเจ้า “เง๊ก เซี่ยง ฮ่องเต้” พระเจ้าหยกที่สูงสุด  ที่มีหยกเข้ามาเป็นชื่อ ก็เพราะหยกเป็นหินธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุด ดังนั้นก็เป็นพระเจ้าที่สูงสุดที่สุด

                         ขอฝอยนอกเรื่องหน่อย คนจีนประชากรมีสิทธิ์บูชาพระเจ้าทุกองค์ เว้นแต่ เง๊กเซี่ยงฮ่องเต้ องค์นี้องค์เดียวเท่านั้นแหละ ต้องให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นคนบูชา กราบไหว้ ชาวบ้านบูชากราบไหว้ไม่ได้ ถือว่ากบฏ บังอาจติดต่อกับสวรรค์อย่างลับ ๆ โทษถึงหัวขาด เจ็ดชั่วโคตรทีเดียว ก่อนหน้าเจ็ดวันบูชา ฮ่องเต้จะต้องไม่นอนกับอีตัวทั้งหลาย ต้อง กินเจเจ็ดวัน รักษาเนื้อรักษาตัวอยู่ในห้องหอที่เตรียมไว้ ท่องบทสวดเกี่ยวกับสวรรค์ ถึงวันไหว้ก็ต้องปิดราชการหลายวัน หอบูชาพระเจ้า เง็กเซี่ยนอ่องเต้นี่อยู่ในวันหลวง เป็นหอกลม อยู่บนเชิงสี่เหลี่ยม เรียกว่า เทียนฐาน แปลว่าหอของสวรรค์หอกลมนี่เป็นสัญญาลักษณ์ว่าเป็นถิ่นสวรรค์ ฐานชั้นล่างเป็นสี่เหลี่ยม แปลว่าถิ่นของมนุษย์เป็นสี่ทิศ สวนที่เป็นหอจะต้องเป็นหอกลม หมายถึงสวรค์ครอบจักรวาล  ตอนผมไปทัศนะหอนี้ที่ปักกิ่ง ไม่เห็นพระสักองค์ มีแต่คนยืนชักว่าวที่หลังหอแถวลานที่กว้าง เข้าใจว่าสมัยก่อนเป็นที่ ๆ พวกพระ หรือพระวรญาติมาเข้าแถวตามวิธี  ตัว เง็กเซี่ยงฮ่องเต้ ไม่เห็นมีตัวตนในวิธี เป็นแต่ป้ายสีม่วงเขียนเอาไว้บนแท่นเท่านั้น

                   การบูชานี่ถ้าทำไม่ถูกต้อง หรือฮ่องเต้ที่ทำชั่วช้าไว้มาก จนสวรรค์ไม่ยอมรับ ฟ้าจะพิโรธ ฝนฟ้าจะตกผิดปรกติ อาจเกิดภัยแห้งแล้ง หรือน้ำท่วม จากแม่น้ำทั้งหลาย คนตายเป็นแสนเป็นล้านได้ ไพร่ฟ้าจะเดือดร้อนไปหมด การเพาะปลูกไม่ได้ผล ภาษีก็เก็บไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย การกบฏจากประชาชนจะเกิดขึ้น เพราะถือว่า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงทำให้ สวรรค์เบื้องบนไม่โปรดปราณ ด้วยความเน่าเฟะของราชวังหลวง ราชบัลลังก์ก็สั่นคลอนตามไปด้วย ฮ่องเต้อาจจะถูกเชือดคอได้อย่างสบาย เห็นหรือยังครับ การบูชาพระเจ้า “เง๊ก เซี่ยง ฮ่องเต้” มันสำคัญไฉนกัน ถ้ากษัตริย์ใดละเลย หรือกระทำความชั่ว ราชวงศ์ก็สั่นคลอนไปด้วย ศูนย์สลายไปในที่สุด 

               ใครเล่าจะเป็นผู้กำกับการแสดงพิธีได้ดีไปกว่าพระหรือนักพรตเต๋า ซึ่งเป็นตำแหน่งราชครูทางพิธีการ และเป็นผู้ซึ่งต้องรู้ถึงตำนานการเกิดของดินฟ้า พระเจ้าบนสวรรค์องค์ต่าง ๆ และวิธีการติดต่อพระเจ้าองค์ต่าง ๆ เหล่านี้ ยังต้องจดจำถึงการเคลื่อนที่ของดวงดาว วันที่ ฤดูต่าง ๆ วันเดือนที่จะเพาะปลูก วัน และราศี ฤกษ์ในการแต่งงาน การปลูกบ้าน ย้ายบ้าน แม้แต่วันที่จะเดินทางทั้งหลาย วันทำสงคราม สอนและตั้งกฎถึง ชีวิตประจำวันทั้งของหลวง ของราษฎร์ คือ “ เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่  การเดินทาง” และการรักษาสุขภาพด้วยความรู้ของ “ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน” (ซึ่งต่างจากของอินเดีย ที่มีแต่ ดิน น้ำ ลม ไฟ) ทั้งนี้ย่อมจะไม่เว้นเรื่อง “ฟอง ซุ้ย” แน่นอน

               การเลือกคู่ผสมพันธุ์ นี่ก็สำคัญมาก เพราะถ้าได้อีนางกาลิณีมาเป็นเมีย นอกจากจะไม่ได้ลูกผู้ชาย อาจทำให้บ้าน ตระกูลแหลกลาน หลักการเลือกคู่ เท่าที่รู้อันดับแรกคือ ปีเกิด เช่นคนเกิดปี หนู-ชวด จะแต่งกับคนปีมะแม -แพะ ไม่ได้ แต่แต่งกับคนเกิดปี เถาะ-กระต่าย หรือปี วอก-หมาได้สบาย (ผมไม่ใช่หมดดู แต่ก็พอเรียนมา กับครูพอสมควร คือน้าสาวผมเอง ว่าง ๆ ตอนไม่มีงานทำ จะไปตั้งโต๊ะที่วัดไทยหากินโดยการดูดวง) การดูดวงของคนจีน นอกจากโหงวเฮ้ง ลักษณะห้าอย่าง ของใบหน้า คือ ตา จมูก ปาก หูและ คิ้วและหน้าผาก(หรือหัวล้าน) ยังดูถึงการเดิน รูปร่างที่สมส่วน เช่น ตัวบนยาว ขาสั้น อย่างงี้เรียกว่าหลังยาว ส่วนบนสั้น ขายาว อย่างนี้มักขยันเดิน ตัวป้อม ๆ มีแรงมาก ใช้สมองน้อย ตัวเตี้ย หัวโต (เหลี่ยมเยอะ ช่างคิด แต่ไม่ชอบทำ)  การออกเสียง เช่นหน้าตาดี แต่เสียงเป็นเป็ด ตัวเล็กเสียดังแหลม พอจะเอาไปขายโรงงิ้วได้เงิน เพราะพวกนี้จะทำมาหากินโดยขายเสียง และพูด นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดจะต้องชั่งน้ำหนักของดวง โดยเอาปีเกิด คือราศีสิบสองตัวนั่นแหละ เดือน วัน และเวลา เวลาของจีนนี่เขาแบ่งเป็นสิบสอง เวลา จาก เวลา จื่อ จนถึงเวลา ผาย  (สิบสองกาลคือ จื้อ ทิ่ว เอี๊ยง เบ้า ซิง จี่ โง บี่ ซุง อิ้ว ซก ผาย) ทั้งหมดนี้ในวังหลวงจะมีการจดเอาไว้อย่างละเอียด แต่จะทำเป็นเล่มย่อขายให้ประชาชนทั่วไป ทุก ๆ ชิวอิ๊ด หรือตอนตรุษจีน ที่เขาเรียกว่า หนังสือ เละยิดเท้า ต้องมีประจำกันทุกบ้าน นี่แหละครับอิทธิพลของศาสนาเต๊า ฝังอยู่ในสายเลือดของคนจีน ลบล้างไม่ออก แม้แต่คอมมิวนิสต์จะทำอย่างไง สักระยะหนึ่ง พออำนาจของทางการเมืองอ่อนลง ความเชื่อเหล่านี้ก็กลับมาใหม่ของมันเอง

          ถึงแม้ว่าเล่าจื๊อเป็นคนริเริ่มศาสนาเต๋า แต่เล่าจื๊อนี่ยังนับว่าเป็นพระเจ้าองค์ที่สองรองลงมาจาก เง็กเสี่ยงฮ่องเต้ คือเป็นเทพของยอดเทพ การที่เรียกว่าเล่าจื๊อนี่เป็นการไม่เคารพ ควรจะเรียกตามชื่อเทพว่า “ไท้ซั่ง เล่าจิง” แถมมีบางตำรา อ้างว่า ท่านได้เดินทางไปประเทศอินเดีย แล้วกลายเป็นพระพุทธเจ้า ต้องเรียกว่าตำราจีนมันเอากันเละเหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อก็ดูการเกิดของพระเจ้า เง็กเซี่ยมฮ่องเต้ ที่จะเล่าต่อจากนี่ก็แล้วกัน ไม่รู้ว่าใครเกิดก่อนใครกันแน่

          พูดถึง “เง็กเซี่ยม ฮ่องเต้” มาหลายครั้ง ควรจะต้องบรรยายถึงความสำคัญ ของเทพสูงสุดองค์นี้เสียหน่อย ท่านบิ๊กองค์นี้มีสมญาอีกอย่างของเทพว่า “หยวนซี เทียนจุน” ศักดิ์ของวัยวุฒิย่อมสูงมาก เพราะเกิดในปีไหนก็ไม่มีใครยืนยัน รู้แต่ว่าอยู่ในสมัยราชวงศ์ เฮ่ เพียงแต่เล่าว่า พระนางเปาเยะกวงฝันว่า เล่าจื๊ ได้อุ่มเด็กชาย ขี่บนมังกรสีรุ้งลอยเข้ามาในวัง ทำให้ทั้งวังสว่างไสวไปหมด และได้มอบเด็กชาวคนนี้ให้แก่พระนาง รุ่งเช้าพระนางก็ตั้งครรภ์ อยู่ได้หนึ่งปี ก็คลอดเป็นเด็กเจ้าชาย วันที่เก้า เดือนหนึ่ง (คือวันเกิดของพระเจ้าองค์นี้ สมัยนี้ถ้าอยากจะไหว้ก็ไหว้เลย ไม่ต้องกลัวใครจะมาตัดหัวเราอีกแล้ว)  เมื่อได้ครองราชย์ก็มีความเมตตา ไม่เก็บภาษี แถมยกทรัพย์สมบัติ ให้หมด แล้วก็เข้าทำภาวนากิจในป่า  เป็นเวลานาน จนได้เป็นเซียน (ครึ่งเทพ) แล้วจึงได้ทำการสัญจร เที่ยวรักษาคนป่วย ปัดเป่าทุกขภัยไปทั่วสามพิภพ ช่วยเหลือมนุษย์และเซียนที่ตกทุกข์ได้ยาก เมื่อได้ผ่านสามพัน สองร้อยภัยพิบัติแล้ว ร่างที่เป็นมนุษย์ก็หายจากมนุษย์โลกนี่ไป กลายเป็นเทพสูงสุดของสามภพ คือ สวรรค์ ใต้ดิน และมนุษย์ คือครอบจักวาล เป็นวงกลมไม่มีขอบเขต ไม่มีที่เริ่มต้น หรือสิ้นสุด และชื่อว่า “ เง็กเสี่ยง ฮ่องเต้” ความเชื่อนี้ก็อยู่ในหัวของคนจีน แต่ดึกดำบรรพ์มา จะเห็นการบูชาสวรรค์แต่ราชวงศ์สมัยเฮ่ สมัยเซียน สมัยจู สมัยจิ้น ฮั่น จนถึงราชวงชิง ก็คือพระเจ้า “เง๊กเซี่ยง ฮ่องเต้” องค์เดียวนี่เอง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

         ตอนเป็นมนุษย์ ท่านบิ๊ก เง็กเซี่ยงฮ่องเต้ไม่มีภรรยา แต่ไหงเป็นเทพแล้ว เดาะจะมีเมียขึ้นมา ชื่อว่า “ไซเทียนบ้อ” คือเจ้าแม่ทางตะวันตก ทั้งสองอยู่ในวังที่ทำด้วยหยกขาว ใหญ่มาก ๆ ที่สำคัญในเขตของวังหลวงมีต้นท้อพิเศษ ลูกใหญ่ มาก ๆ ถ้าใครได้กินแล้วจะมีชีวิตยั่งยืน ไม่ตาย อาจได้เป็นเซียนก็ได้ ใคร ๆ เขาถึงอยากจะขโมยกินกันจัง แต่มีเทพหลายองค์เฝ้ารักษาอยู่ รวมทั้งหมา พิตบูล แอลเซเชียนหลายพันตัวช่วยเฝ้ารักษาการอยู่ด้วย แต่กระนั้นก็เถิด ซึงหมอคง เจ้าแห่งลิง ในเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งมีกำหนดจากถ้ำสูยก๊วย มาขโมยดอดกินเสียเกือบครึ่งสวนจนได้ เห็นยัง ซึงหมอคง ถึงมีฤทธิ์มากมาย หลังจากกินท้อ หรือพีชพิเศษ   ถ้าเชื่อที่ผมเล่า เวลาผลไม้พีช ลูกท้อออกขายอีกสองเดือนข้างหน้า ก็กินมาก ๆ หน่อย จะได้ลดน้ำหนัก แถมถ่ายสะดวก ตัวเบา อย่างนี้ก็คงใกล้ ๆ เซียนเข้าไปละ

         อย่าลืมอีกอย่าง การเป็นเซียนนี่จะต้องถือศีล ภาวนาอย่างต่ำ ๆ  เป็นพัน ๆ ปี ( เอ! ผมก็ลืมศึกษาว่ามีเมียได้หรือเปล่า เพราะฤษีของอินเดียเขามีเมียได้นี่ ) เมื่อถึงตอนนั้น จิตภาวนาเก่งกล้าขึ้น จนส่งคลื่นกระแสไปถึงสวรรค์ พระผู้เป็นเจ้าก็จะส่งเทพไปตรวจสอบว่า อ้ายนี่นั่งสมาธิภาวนาจริงหรือ เปล่า ไม่เหมือนอาจารย์เรียกปีศาจทั้งหลาย เล่นหลอกเอาสตางค์ไปทั่ว เมื่อตรวจสอบ แล้วแถมมีแฟ้มของ เอฟ บี ไอ FBI ยืนยันความบริสุทธิ์แล้ว ก็ต้องผ่านสภาเทพอาวุโส แล้วจะต้องมีเซียนคนอื่นสนับสนุน เชียร์ด้วย ถ้าไม่มีพรรคพวกก็มีหวังหลุดจากรายชื่อแน่นอน นั่งต่อไปอีกสักพันปี เมื่อยตุ้มเลย เห็นยังจะเป็นเซียนอาวุโส หรือเทพ ก็ต้องมีพรรคมีพวกด้วยเหมือนกัน จะคิดว่าของขวัญแพง ๆ ติดไม้ติดมือไปไม่สำคัญไม่ได้นะครับ ถ้าได้ลูกท้อที่ขโมยจากสวนของวังหยกขาวด้วยยิ่งพิเศษใหญ่

         อีกนิดหน่อยก่อนจบ ในเทพของจีนนั้น ถ้าองค์ไหนเกิดมาเป็นเทพ หรือพระเจ้าเบื้องบนส่งไปทำงานบนโลก และทำได้ถูกต้อง ก็ได้เป็น ซิ้ง ก็ต้องเรียกว่าเทพ ส่วนมนุษย์หรือสัตว์ถ้าได้ภาวนาและอยู่ศีล ทำบุญได้มาก ๆ หลาย ๆ ชาติ พระเจ้าก็แต่งตั้งให้เป็น เซียน เช่น โป๊ยเซียน คือเซียนทั้งแปด ก็มาจากมนษย์ธรรมดานี่เอง

  

                   กลับไปตอนที่ 9                                          อ่านต่อ ตอนที่ 11

 

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California