ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

                          หลวงจีน

                                                                                     ตอนที่ 9

                                                                                                                      นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

ลัทธิเต๋า

           แน่นอนเมื่อวัดเส้าหลินเป็นแกนนำในยุทธจักร ซึ่งเป็นฝ่ายพุทธ วัดบู๊ตึงย่อมเป็นแกนนำของเต๋า แม้ว่าจะด้อยกว่าในทางเกียรติยศ แต่ทางการยุทธวิธี และการเรียนทางกำลังภายใน ย่อมเลื่องลือไกล ไม่เป็นที่สองแก่คณะไหนทั้งนั้น และบางครั้งก็มีคนเด่นและเก่งจนได้เป็นเจ้ายุทธ

                    แน่แล้ว วัดบู้ตึงซึ่งเป็น ของฝ่ายลัทธิเต๋า ซึ่งสมควรจะเรียกว่าศาสนาเสียมากกว่า  โบสถ์หรืออารามนี้ยังอยู่ แม้ตอนนั้น ราชวงศ์หยวนของเกงกิซข่าน มันบ้าเลือด เที่ยวเผาวัดวาอารามไปเสียมาก  เล่าฮูก็พยายามค้นคว้าอยู่  พบว่าวัดนี้ก็ยังอยู่ สมควรที่เล่าฮูจะไปคารวะแด่ท่านปรมาจารย์ จางซำโฟง ผู้ที่ได้คิดค้นท่ามวย “ไท่จิ” สำหรับรำออกกำลังกายแก่ชนเราทั้งหลาย ซึ่งตกทอดมาถึงสมัยนี้ ก็มีลูกศิษย์ฝึกกันเป็น ล้าน ๆ คนทั่วโลกเสียแล้ว แม้แต่ที่สวนลุมพินีของเมืองเรา ก็มีคนวาดมวยนี่กันทุกวัน ตอนเช้า มันก็น่าไปหัดจริง ๆ เพราะเสร็จแล้วก็คงต้องฟาด เลือดหมู เครื่องใน แถมข้าวร้อน ๆ หนึ่งชาม หรือโจ๊กหมู เครื่องใน มันมีขายในสวนลุมพินีนี่แหละ

         นี่แหละ เท่าที่นักอ่านหนังสือบู๊ลิ้มเข้าใจในลัทธิเต๋า ก็โดยวิชาทางยุทธวิธีที่โด่งดัง  แล้วก็มีท่านนักพรตเต๋า ถือไม้แส้ขนม้าไล่แมลงวัน ทรงผมมักจะถักขึ้นเป็นมวยบนหัว  และเสียบด้วยปิ่นบนกองผมนี่  นักพรตเหล่านี้มักจะมีหนวดใต้คางเป็นหนวดแพะ เกือบทั้งนั้น อีกองค์หนึ่งที่รู้จักกันดีก็มี เพราะเคยเห็นในหนังเรื่อง มังกรหยก คือ คูเต้าหยิน ซึ่งเป็นครูของ หยังคัง ตัวแสบ คู่อาฆาตของก๊วยเจง ลักษณะอย่างนั้นแหละครับ นักพรตเต๋า แต่ว่ามันเป็นแขนงแยกจากเต๋า เรียกว่า ช่วนจีนก่า หรือลักธิช่วนจีน

         วันนี้จะได้มาไขปริศนาว่าศาสนาเต๋ามันเป็นยังไง เล่นแต่มวยทุกวัน หรือไม่ก็เอาไม้แส้ ไล่แต่ยุงแมลงวันหรือไม่ก็ลูบคลำแต่หนวดแพะทั้งวัน หรือนั่งภาวนา สมาธิทั้งวัน และเที่ยวเก็บหาสมุนไพรรักษาโรคเท่านั้นหรือ เล่าฮูจะได้สาละแน ให้ถ่องแท้แดงแจ๋กันสักที

         อันศาสนาเต๋านี้มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ อายุไขพอๆ กับศาสนาพุทธทีเดียว ก็เพราะว่าเล่าาจื้อเกิดในสมัยชุนชิว ร่วม ๆ สมัยของขงจื้อ และพระพุทธเจ้านั่นแหละ เล่าจื้อก็ไม่เคยคิดจะมาตั้งศาสนาเต๋า เพียงแต่คำพูดหรือคำสั่งสอน ที่ตกทอดภายหลัง ที่เล่าจื้อละจากบ้านเมืองไปเข้าป่าหาความสงบแล้ว ผู้เพียรรู้ทั้งหลายก็มาตีความเอาเอง ก็เลยก่อตั้งขึ้นเป็นลัทธิ  แล้วก็เป็นศาสนาที่คนนับถือกันมากมาย ในประเทศจีน แล้วยังแพร่ออกไปที่เกาหลี ญี่ปุ่นอีกด้วย

            เล่าจื้อเดิมเป็นคนเมืองฉู่ หรือฉั่วในสมัยประเทศจีน ราชวงศ์โจว กลียุค ชุนชิว มีตำแหน่งในราชการเป็นถึง ผู้รักษาการห้องสมุดหลวง เทียบเป็นตำแหน่งของราชบัณฑิต ของประเทศทีเดียว คือว่าต้องรู้หมดถึงทุกตำราที่สำคัญในสมัยนั้น ซึ่งความรู้และปรัชญาของเล่าจื๊อ ได้รับการยกย่องและการันตีจาก ขงจี้อ ซึ่งเป็นยอดนักปราชญ์ของรัฐหลู่ และประเทศจีน และเกิดรุ่นราวคราวเดียวกันด้วย

            ประวัติการเกิดของเล่าจื้อก็พิศดารพอดู คือคืนหนึ่งเทวาบรรดาล แม่ของเล่าจื้อตกใจตื่น เมื่อแลออกไปนอกหน้าต่าง เห็นดาวตกที่แสงโชติช่วงชัชวาลตกมาแถวบ้าน หลังจากนั้นก็ตั้งท้อง ท้องอยู่ตั้ง แปดสิบเอ็ดปีถึงคลอด เพราะการที่นอนในท้องแม้นานจนถึงแปดสิบเอ็ดปี เกิดมาเลยหน้าตาแก่งัก เขาเลยตั้งฉายาว่า “เล่านั้ง”

            แม้แต่การคลอดก็พิศดารด้วย คือแม่เขาคลอดลูกออกทางจักแร้ด้านซ้าย ตอนคลอดพักอยู่ใต้ต้นหลี หรือต้นพลัม พอเต๊าจื้อเกิดมา ลืมตาเห็นต้นหลีก็พูดขึ้นว่า “ฉันจะใช้แซ่หลี ตามชื่อต้นไม้นี่แหละ” เด็กพิศดารนี้ก็เลยได้ชื่อว่า นายหลี  เออะ หรือ นายต้นพลัม มีหู คิดดูซี่ครับมันต้องมีอะไรผิดปรกติแหง ๆ เลย เด็กเกิดใหม่ถึงพูดได้ และรู้จักตั้งแซ่ตัวเองได้ด้วย แล้วหน้าตาก็แก่งัก สมกับอายุแปดสิบเอดปี

           ในตำราแพทย์ก็มีโรคอย่างนี้ด้วย เรียกว่า Pregoria เพรกกอเรีย แต่ถ้าเป็นโรคนี้ มีอายุไม่เท่าไหร่ก็ตาย เพราะเป็นไปตามอายุของเนื้อเยื่อและอวัยวะ เพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่ากำหนดโดยยีน Gene มันไม่ใช่อายุของเวลาของโลก เช่นสิบปีของยีนนี้เท่ากับหนึ่งปีของมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นพวกนี้แค่สิบปี ก็เท่ากับร้อยปีของมนุษย์ธรรมดา เขาก็ต้องตายเพียงอายุสิบปี (เพราะเขามีอายุร้อยปี) ช่วยคิดให้ผมก็แล้วกัน ผมชักงง ๆ นับไม่ค่อยถูก แต่เล่าจื้อเขาแก่เพียงแค่นี้ ต่อจากนั้นก็ไม่แก่อีกแล้ว เลยหาสาเหตุของโรคแบบนี้ไม่ได้ คงต้องเรียกว่า Retard pregoria

           ความรู้และความคิดของเล่าจื๊อตั้งแต่เกิดมาก็เพียงเพื่อจะเสาะหาถึงหนทางหรือ “ เต๋า” ให้ชีวิตยืน หรือไม่ตาย อย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ดังนั้น นักพรตที่เรียกตัวเองว่าเต๋าจื๊อก็ใช้ชีวิตอย่างง่ายดาย ไม่มีความทะเยอทะยานในทางโลก หรืออยากจะเป็นใหญ่เป็นโตทางราชการ ตั้งความเพียรเพื่อหาทางบรรลุถึง “ไม่ตาย” Immortal เท่านั้น ดังนั้นในบ้านหรือที่อยู่ก็ธรรมดาถึงที่สุดแต่ใช้ประโยชน์ได้ (บ้านที่มีเฟอร์นิเจ้อมาก อาจจะเกิดอุบัติเหตุง่าย ๆ เพราะไปชนหรือเตะมันตอนกลางคืน) เลยกลายเป็นศิลปะชนิดหนึ่งที่เราดู ใช้ หรือจับ จะราบรียบถึงที่สุด เหมือนศิลปของศาสนาเซนในญี่ปุ่น ก็ถูกเต๋าคลอบงำ

          ในที่สุดความเพียรก็บรรลุผล คือว่าวันนั้นเล่าจื้อเกิดคิดได้ทลุปุโปร่ง ว่าวิธีไม่ตายคืออะไร พอคิดได้เท่านั้น อาหารมื้อนั้นก็ไม่กิน ลากควายที่มีอยู่ตัวเดียวของบ้านที่เขาเอาไว้ไถนา โดดขึ้นหลังควาย แล้วก็บอกข้างลูกเมียให้ไปช่วยลาออกจากราชการที่มีเกียรติ แล้วออกเดินทางโดยขี่ควาย เพื่อไปปฎิบัติตามที่ค้นพบมา ระหว่างทางจะออกจากประตูเมือง ก็เจอผู้กอง คูฮี นายทหารรักษาประตูเมือง ซึ่งเป็นคนที่นับถือเล่าจื๊อมาแต่เดิมที เพราะชื่อเสียงที่โด่งดัง ในความเป็นนักปราชญ์เอกของประเทศ พอเห็นก็ได้เข้ามาทำการสัมมาคารวะ แล้วขอคำแนะนำและสั่งสอน ถึงหนทางของเล่าจื้อที่ค้นพบใหม่ ในทางเป็นเซียนหรือไม่ตาย

          เนื่องจาก ผู้กอง คูฮี เป็นคนที่มีความจริงใจ และศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อตัวเล่าจื๊อ และอยากเป็นเซียนด้วย จึงขอเป็นศิษย์ เล่าจื้อเลยต้องเสียเวลาชี้แจงถึง “เต๋า”   และได้มอบตำราให้หนึ่งเล่ม   เรียกว่า “เต๋าตี่เจง” แปลว่าคัมภีร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ของศาสนาเต๋า ในคัมภีร์นี้มีคำอยู่ ห้าพันคำ แต่ละประโยคย่อมเป็นคำพูดที่เป็นปริศนาหมด และมีความหมายที่เดาและคิดกัน ได้หลายอย่าง เป็นสองแง่สองมุม ไม่ได้แปลว่าสัปดี้ สัปดนนะครับ เพราะเล่าจื๊อท่านไม่เคยคนึงถึงเรื่องนี้ คงไม่ให้ตำราเกี่ยวกับเซกส์ คิดว่าผู้กองคูฮีคงไม่รั้งให้อยู่กินมื้อเย็น เพราะคนเป็นเซียนเขากินแต่น้ำค้างเท่านั้น

         ประโยคแรก ของตำราว่าอย่างงี้  “เต๋า เหยิวเต๋า ฮุยเหิ่นเต๋า”  แปลว่า เต๋า มีเต๋า แต่ไม่ใช่เต๋าที่จะบรรยายด้วยคำพูดได้ คือว่าเต๋ามันมีอยู่ทั่วไปหมด  จะต้องคิดให้เข้าใจเอาเอง

         คำว่าเต๋า ภาษาจีนก็อาจแปลว่าทางเดิน แต่ก็แปลว่า วิถีทาง หรือ กรรมวิธี  แต่ภาษาอังกฤษเขาแปลว่าอย่างนี้ Tao does nothing, but there is nothing it does not do แปลว่า เต๋า รู้สึกว่าไม่มี แต่แท้จริงแล้ว มันเกี่ยวข้องไปเสียทุกสิ่ง และมันอยู่ทุกหนทุกแห่งที่เราเป็นและอยู่ ถ้าผู้อ่านเข้าใจถึงแก่นแท้ แล้วก็ต้องภาวนา เป็นระยะเวลาอีกนาน แล้วก็ได้รับการันตีจากฟ้าเบื้องบนเป็น “เซียน” ได้เลย แต่เดี๋ยวก่อน การเป็นเซียน มิไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ จะตั้งตัวเป็นเซียนเหมือนพวกเซียนทั้งหลายที่ข้างสนามมวยหามิได้

                    นักปราชญ์มากน้อยพยายามทำความเข้าใจถึงความหมายใน เต้าตี่เจง ก็ให้ผลสรุปออกมาสามข้อ

 

1. ทุกสิ่งทุกย่างมันมาจากหนทางหรือแหล่งเดียวกัน และก็กลับไปหาแหล่งเดิมของมัน ธรรมแห่งความจริง หรือทางของเต๋า

2. ในจักรวาล ธรรมชาติมันเป็นไปของมันเอง เปลี่ยนแปลงตามเวลา และเป็นจังหวะที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน และก็เป็นพลังสร้างสรรค์ทุกชนิดในโลก ทางของจักรวาล

3. ทางของมนุษย์ ย่อมมีอิสระของมันเอง ในเสาะหาความเป็นจริง และให้อยู่อย่างสมดุลย์กับธรรมชาติ ก็จะปราศจากโรคภัย สุขภาพดี มีอายุยืนนาน และให้เสาะหาและปฎิบัติคุณธรรมที่สูงสุด ทางของมนุษย์

 

ส่วนทางปฏิบัติของลัทธิเต๋าก็แบ่งออกเป็นสามแขนง บางทีอาจไม่เกี่ยวกับกันเลย แต่มันก็เป็นเต๋า อันมาจากหลักปรัชญาสามข้อข้างต้น โดยปฏิบัติตามหลักปรัชญา เพื่อเข้าใจและบรรลุถึงคุณธรรมหรือของธรรมชาติสูงสุดเป็นแบบศาสนา มีการบูชาบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ เช่นเง่กเซี่ยงฮ่องเต้ หรือการไล่ผีปีศาจ การดูฟองซุ๊ย

3.   การใช้หลักของธรรมชาติ เพื่อสุขอนามัย เช่นการเสาะหาสมุนไพร การรักษาความสะอาดการกินอาหารที่ถูกต้อง (เช่นเจียะโป๊ว ยาบำรุง) การออกกำลังการที่ไม่หักโหม จนทำความชอกช้ำแก่กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น นี่ก็เป็นที่มาของมวย ไทจิ นั่นเอง

           เนื่องจาก เต๋า สอนให้ เข้ากับธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ และเข้ากับธรรมชาติ ด้วย จึงเกิดวิชาที่ศึกษา “ฟอง ซุ๊ย” สอนให้อย่าได้ไปขัดแย้งต่อการหลั่งไหลหรือเคลื่อนที่ของทางน้ำและทางลม ทุกอย่างต้องให้สมดุล โดยธรรมชาติของมัน เช่นเย็นกับร้อน ร่มเย็นกับแสงแดดกล้า  ดำกับขาว  ทุกอย่างมันต้องกลมกลืนกัน เลยให้รู้จักวิชาอีกแขนงหนึ่ง เรียกว่า การกำหนด “ ยิง แยง”

เล่าฮูจำต้องพูดถึงวิชา ฟิสิคส์เสียหน่อย เพื่อให้เข้าใจถึงแก่นแท้และปรัชญาของเต๋า คือ ยินและยัง ตัวอย่างก็มีความร้อนและความเย็น ที่แท้แล้วในธรรมชาติจะไม่มีความเย็นมีแต่ความร้อน ที่เรารู้สึกว่าเย็นก็เพราะร้อนน้อยลง

 

 สสารทุกอย่างในธรรมชาติที่เราเห็น จะเปลี่ยนสภาพหรือสภาวะเพราะความร้อน ตอนเมื่อร้อนมาก ๆ จะมีสภาวะเป็นสารที่ต่างแยกตัวออกจากกัน คืออณูผลักตัวออกจากกัน  เนื่องจากอิเล็กตรอนที่อยู่รอบ ๆ ตัว โมเลกูลมันคึกคักมาก เพราะแต่ละอณูจะเต็มไปด้วยพลังงาน

 

สารที่เราเห็นอยู่ทุก ๆ วัน ก็คือน้ำ  H2O เมื่ออยู่ในสภาวะร้อนจัดจะเป็นไอน้ำ (หรือแก๊ซ ในความเข้าใจของนักวิทยาศาสตร์) เมื่อร้อนน้อยลง ความคึกคักของอีเล็ตรอนที่เป็นเปลือกวงจรด้านนอกก็น้อยลง อณูเลยมาอยู่ชิดกันได้อย่างสันติ หรือจะดัดจริตหน่อยก็เรียกว่า Harmony ในหม้อเดียวกัน ไม่ผลักตัวออกจากกันเหมือนตอนเป็นแก๊ซ ตอนนี้ก็กลายเป็นสภาพเป็นของเหลว เป็นน้ำเหลวที่เราจับต้องได้และดื่มอยู่ทุกวัน

 

เมื่อร้อนน้อยลงมาก ๆ (หรือหนาว) อีเล็กตรอนที่อยู่รอบ แทนที่จะผลักกัน กับมาเกาะเกี่ยวแขนกัน เพราะไม่มีพลังงาน เลยเป็นน้ำแข็ง ยิ่งเย็นมาก- หรืออีกนัยหนึ่งคือร้อนน้อยมาก ๆ ๆ น้ำแข็งยิ่งเกาะแน่นเข้าทุกที เหมือนขุนเขาน้ำแข็งที่เราเห็นในหนังนั่นแหละ ในสภาพนี้ มันเกือบไม่มีประโยชน์ต่อเราเลย ดื่มมัน หรือใช้ล้างหน้าก็ไม่ได้ เราก็จะอยู่กับน้ำแข็งอย่างไม่มีความสุข พูดให้ถูกต้องแล้ว ความร้อนนี่ก็คือพลังงานชนิดหนึ่ง  ที่เราป้อนเข้าไปในวงจรของอีเล็กตรอน ที่หมุนอยู่รอบอณูนั่นเอง พลังมากมันก็คึกคักกลายเป็นแก๊ซ ดังนั้นสภาพที่ดีที่สุดคือความร้อนน้อยขนาดเป็นน้ำใส เราก็จะอยู่กับมันได้อย่างสบาย นั่นคือ ยิน และ แยง สมดุลย์กัน อธิบายถึงแค่นี้แล้ว เข้าใจถึงความพอดี หรือเต๋าหรือยัง ด้วยความพอดี เราก็ได้ใช้น้ำได้ประโยชน์  โอ้ยเล่าฮูเหนื่อย ด้วยร่างกายชักไม่อยู่ในสภาพสมดูลย์คือแก่ลง เลยไม่ Harmony กระชุ่มกระชวยเหมือนเดิม สรุปแล้ว สสารมันเป็นอยู่ของมันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าไปรบกวนมัน การเสียธรรมชาติก็จะใช้การไม่ได้  คิดว่าท่านผู้อ่านคงเข้าไปเรื่องของเต๋าคราวนี้เอง ขนาดแค่เส้นผมผ่าสี่ก็ยังดี

  

                   กลับไปตอนที่ 8                                         อ่านต่อ ตอนที่ 10

 

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California