ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

                          หลวงจีน

                                                                                     ตอนที่ 11                                                                                                                                                                                           นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

  

นินจาหรือพ่อมด

                  ในสมัยก่อน ก่อนที่ประเทศจีนจะรวมกันเป็นประเทศเดียว ก็คือปลายสมัยราชวงศ์จิว ในยุคขงจื๊อนั่นแหละ มีรัฐใหญ่น้อยร่วมร้อยเจ็ดสิบกว่าทีเดียว รัฐทั้งหลายเหล่านี้ต่างประหัตประหารกัน ต่างก็หวังความยิ่งใหญ่โดยเข่นฆ่าศัตรูแล้วยึดรัฐเขามาครอง

                   หลักการที่สำคัญที่จะทำให้รัฐของตัวใหญ่ได้ก็คงต้อง 1. เพิ่มพื้นที่ให้ได้มาก แน่นอน ข้อนี้เป็นที่สุดจะต้องการก่อนข้ออื่น 2. เพิ่มพลเมืองให้ได้มาก เห็นมีอยู่ข้อหนึ่งที่อ๋องเกาจิ้นได้สั่งกำหนดไว้คือ ห้ามหนุ่มมีเมียแก่ ห้ามชายแก่มีเมียสาว สาวอายุเกิน 17 ปี หนุ่มอายุเกิน 20 แล้วยังไม่แต่งงานถือเป็นความผิดของพ่อแม่ เพราะกฏเหล่านี้มันเหมาะสำหรัเพิ่มพันธ์ รัฐได้ตั้งรางวัลให้ผู้ที่มีบุตรมาก 3. เพิ่มผลผลิตให้มากที่สุด โดยขุดทางน้ำชลประทาน และค้นหากรรมวิธีการเพาะปลูก 4. บำรุงกำลังของทหารให้แข็งแรง ให้ทำการฝึกทหารทั้งทางน้ำและบก 5. หาผู้มีความรู้เป็นที่ปรึกษา ที่เรียกว่าเป็น กุนซื แม้ว่าบางคนไม่เป็นท่าเลย แต่ถ้ามาจากรัฐอื่นเป็นใช้ได้ จะมากินฟรีก็ช่างมัน เพราะจะได้รู้ความลับของรัฐอื่นให้มากที่สุด กุนซืที่โด่งดังก็เช่น ซุนหวู่ หรือซุนจื่ และหลาน ซุ่นปิน ซางหยางของรัฐฉิน กุนซือที่ถื่อว่าเป็นปรมาจารย์ของยุทธวิธี  6. หานักก่อวินาศกรรม นักลอบฆ่า

          Assassins ที่เก่งให้ไปทำการฆาตกรรม ผู้ปกครอง หรือที่ปรึกษาที่สำคัญของฝ่ายตรงข้าม 7. หาสาวสวยขนาดยั่วเมือง ไปให้ผู้ปกครองฝ่ายตรงข้ามลุ่มหลง มั่วเซ็กส์จะได้ชิบหายเร็ว ๆ เช่นนางไซซีที่อ๋องเกาจิ้นส่งบรรณาการไปให้อู๋อ๋องฟูซา จะได้บ้าแต่เรื่องเซ๊กส์ ประเทศก็อ่อนแอลง และเงินทองในพระคลังจะได้หมดเร็ว ๆ 

                   นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายการสร้างรัฐให้ยิ่งใหญ่ แต่ที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังคือตอนใช้นักฆาตรกรรม Assassinsนักก่อการทำลาย นักสืบราชการลับ พ่อมดหมอผี พวกนักที่ทำลับ ๆ พวกนี้ จะขอไปรับใช้ในรัฐต่าง ๆ เพื่อการดังกล่าว ก็ต้องอย่างลับ ๆ แหละครับ แต่มาแบบที่ปรึกษา หรือกุนซื ก็ได้ แต่ประวัติศาสตร์ไม่บอกว่ากินเป็นเงินเดือนประจำ หรือรับทำงานเป็นชิ้น ๆ ไป แบบมือปืนของไทย รับเหมาเป็นศพ กันไป

         นักฆ่าพวกนี้ชื่อว่า NINJA นินจา ซึ่งเป็นคำพูดของญี่ปุ่น แปลว่าผู้หลบเล้น หรือหายตัว โดยมากเราก็รู้จากภาพยนตร์ฝรั่งหรือญี่ปุ่นนั่นแหละครับ หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวเสียเฟี้ยวเลย เสื้อผ้าต้องเป็นสีดำ กางเกงรัดขาแน่นเลย มีดาบคาดหลัง มีเชือกคล้องไว้ติดตัว

ที่แท้จริงแล้วพวกนี้แต่งตัวไม่ได้เฟี้ยว อย่างนั้นหลอกครับ เชยเป็นบ้าเลย เพราะต้องแบกเครื่องทำการอีกหลายอย่าง ถุงใส่เครื่องมือต่าง ๆ อาวุธลับ เชือกยาวและสั้นสำหรับปีนป่าน หรือลัดคอ ยาพิษสำหรับศัตรูและตัวเองถ้าถูกจับได้ ยาดมสลบ ระเบิดควัน เครื่องเกาะเกี่ยวกำแพง ห้อยโหน นอกนี้ในเมืองจีนหรือญี่ปุ่นถ้าเกิดต้องทำการตอนหน้าหนาวยังต้องใส่เสื้อผ้าหลายชั้น คือแบกของติดตัวอีนุงตุงนัง คงดูไม่เท่อย่างในหนัง และต้องพันหรือพกแนบตัว เพราะจะได้เดินเหิรได้สะดวก แล้วเวลาเกิดต้องถ่ายเทอะไรเกิดขึ้น มิต้องแก้กันให้วุ่นกันไปหมด ดังนั้นขากางเกงคงแบบขาก๊วย กว้างพอจะถ่างขาออกแล้วก็ทำการให้เสร็จได้ ภายในเวลาที่สั้นที่สุด แล้วแถมไม่ให้หมามาดนกลิ่นตามงับได้อีก

                     แล้วทำไมวิชานินจาทั้งหลายถึงได้หายไปจากเมืองจีนละครับ แต่โผล่ไปอยู่ในญี่ปุ่น ก็เพราะว่าเมื่อเมืองจีนสงบอยู่ใต้ธงแผ่นเดียวกันของราชวงศ์จีนแล้ว พวกนินจาจีนก็เสื่อมความนิยมไป ไม่มีใครจ้าง แถมถูกทางการตามจับ ฆ่าทิ้งไปเสียมาก เพราะกลัวมาฆาตรกรรมคนในราชวงศ์ โดยเฉพาะพระเจ้าจักรพรรดิ์ ซึ่งโดนปลงพระชนม์ก็หลายครั้ง และอีกครั้งหนึ่งเมื่อประเทศจีนนับถือศาสนาที่ต้องใช้ปัญญาและความคิดอย่างศาสนาพุทธ ความเชื่อในไสยศาสตร์ที่คู่กับอาชีพนินจานี้ก็ถูกกำจัดด้วย ทำให้การสืบทอดวิชานี้เสื่อมหายไปมาก สำนักต่าง ๆ ที่เชี่ยวชาญเลยย้ายถิ่นฐานไปอยู่ญี่ปุ่นดีกว่า เพราะเขาจ่ายเงินเยน แข็งกว่าเงินหยวนของจีน ก็เหมือนพวกไปขายตัวกันมากมายที่ญี่ปุ่น ทั้งสาวไทย และสาวฟิลิปปิน

                     วิชาที่สำคัญที่สุดคือการหายตัวหรือแปลงตัว หรือวิชามายากล โดยอาศัยหลักของวิชาเคมีคือแบบ อนินทรีย์ เคมี Non-organic Chemistry กับ อินทรีย์เคมี Organic Chemistry การใช้วิชาอนินทรีย์ก็คือระบบความเชื่อถือของจีนคือ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน คือสามารถทำการเปลี่ยนแปลงตามสภาพของ สารดังกล่าว เช่นขงเบ้งสามารถเรียกลมได้ สามารถย่นระยะทางได้ สามารถทำการใช้ ม้าไม้และควายไม้ติดไฟฆ่าศัตรูได้ ส่วนการใช้วิชาอินทรีย์นั้นก็คือการเปลี่ยนตัวหรือหลบหายไปเป็นสัตว์หรือหนอน หรือนกได้ ส่วนการใช้แปลงกายเป็นสัตว์นั้นก็มี

           เรื่องของนักเล่นกลที่มีชื่อที่ไปล้อโจโฉในเรื่องสามก๊ก นายนี่ชื่อแปลกแฮ ชื่อ จ่อจู๋ ถ้าพ่อแม่ไหนตั้งชื่อลูกอย่างนี้มีหวัง เจาะเจ๊ง(แปลกว่าศูนย์พันธุ์แน่ ขืนจ่อแล้วยังจู๋อีก ถ้าจะไม่ได้เรื่องอย่างนี้ก็ต้องล่อ ไวกร้ากันละ อาจจะจ่อแข็งได้) อีมาจากไหนก็ไม่รู้ อาจจะมาจากค่ายของเล่าปี่ก็ได้ คงมีอาชีพเล่นกลละมั่ง อยู่ ๆ ก็ไปล้อเล่นโจโฉกลางวงเหล้า จนนายกหนวดอีอารมณ์เสียแทบคลั่ง แถมปวดหัวมากขึ้นอีก เพราะตอนนั้นอีเป็นโรคมะเร็งของสมองมีอาการปวดหัวบ่อย เห็นภาพหลอกหลอน อารมณ์ฉุนเฉียว ขี้สงสัยมากขึ้น

          พอล้อนายกโจโฉจนพอใจแล้ว อีตาจ่อไม่ได้เรื่องนี่ก็หายตัวไป โจโฉเลยสั่งให้ทหารตามจับมาฆ่าเสีย ไปพบว่านายจ่อจู๋กำลังเดินเล่นอยู่กลางฝูงแพะบนถนน พอทหารตามเข้ามาใกล้ อีก็หายตัวไปอีก เขาว่าเป็นวิชาซ่อนตัวกลายเป็นแพะ โจโฉเลยสั่งให้ฆ่าแพะทั้งฝูง เด็กเลี้ยงแพะเมื่อแพะถูกตัดหัวหมดทั้งฝูงก็เสียใจได้แต่ร้องไห้ แล้วอยู่ ๆ นายจ่อจู๋ก็พลันปรากฏตัวอีก บอกไอ้ตี๋อย่าร้องไห้เลย ลื้อเอาหัวแพะต่อเข้ากับตัวแพะใหม่ แล้วลื้อก็จะได้แพะกลับคืนชีพมาหมด อาตี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทำตามที่บอกอย่างรนราน จริง ๆ ด้วย ทุกตัวลุกขึ้นมาร้องแมะ ๆ (น่าจะร้องแพะ ๆ เสียมากกว่า) กันให้ลั่นเลย ก็เพราะรีบร้อนนั่นซี อาตี๋ลืมก้มลงไปดูว่าตัวไหนเป็นตัวผู้ตัวเมีย ใส่หัวผิดเพศไปก็หลายตัว หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เขาว่าแพะตัวเมียก็เลยมีหนวดงอกออกมาด้วย นี่แหละนายจ่อจู๊ก็อาจเป็นนินจาคนหนึ่ง และก็รู้วิชาของนินจาที่สามารถแปลงตัวเป็นสัตว์อื่นได้ ถ้าไม่เชื่ออีกก็ต้องให้ดูหนังสือ ไซอิ๋ว กันละ รายนี้จ้าวลิงซึงหมอคงเปลี่ยนได้ถึง 36 อย่างทีเดียว

 

                  กลับไปตอนที่ 10                                          อ่านต่อ ตอนที่ 12

 

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California