ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

                     คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส

                                                                                   ตอนที่ 2                                                                                                                                                                                          นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

 

เรื่องเรือรั่วหรืออับปางในทะเลเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคลื่นลมทางด้านมหาสมุทรมันรุนแรงตลอดเวลา โดยเฉพาะทางทะเลเหนือด้านตะวันตกของสก๊อตแลนด์ เรือที่มากระแทกกับหินรอบเกาะจนแตกทั้งลำมีมากมาย จนกลายเป็นสุสานของเรืออับปาง

เนื่องจากการเดินเรือสมัยก่อนไม่มีเครื่องยนต์ขับเคลื่อน ทั้งหมดอาศัยแม่พระพาย และผ้าใบที่กางรับลมเท่านั้น ถึงแม้กัปตันจะชำนาญการใช้กางใบให้ถูกทาง แต่ถ้าเป็นลมที่พัดย้อนทาง มันก็อาจจะพาเรือไปไหน ๆ จนหลงทาง (หรือทะเล) ก็ได้ ถ้าใกล้ฝั่งนักและเจอลมคลื่นแรงก็พาไปฟาดกับหินโสโครกเรือแตก หรือเกยตื้น หรืออาจถูกพัดพาไกลออกทางกลางมหาสมุทรจนไม่มีทางกลับมาได้อีก เพราะเครื่องมือในการบอกทางที่ใช้ได้ผลคือเข็มทิศ ส่วนที่เห็น ๆกันว่าแน่เช่น เครื่อง Sextant ดูดาวดูพระอาทิตย์ก็ได้แต่เดา ๆ ไปเท่านั้นเอง แถมเรือก็โยกซ้ายโยกขวาตลอดเวลา มันจะวัดกันได้ยังไง ถ้าหาทางกลับไม่ได้ หรืออยู่ในแถบไม่มีลมเลย ฝรั่งเขาเรียกว่า Doldrums ก็คงไม่ต้องไปไหน เรือจะไม่เคลื่อนที่ไปไหนเป็นเดือนนานไปก็อดอาหารกับน้ำ แถมเป็นโรคป่วยเลยตายกันทั้งลำเรือ กลายเป็นนิยายในเพลงโอเปร่า ชื่อว่าเรือผีสิง Frying Dutchman ของนาย Richard Wagner เสียนี่

          การขาดอาหารเป็นเรื่องธรรมดา อาหารดี ๆ ที่เตรียมมา พอนานหน่อยก็เน่า เรื่องผักผลไม้ ไม่เคยอยู่เกินสิบวันก็เน่าหมด มีราขึ้นบนขนมปังแข็ง ขี้แมลงสาบ หนูแทะ ขนมปังก็แห้งจนกลายเป็นผง บางครั้งเมื่อไม่มีอะไรจะกิน หนูในเรือก็เป็นอาหารมื้ออร่อยเหมือนกัน หนังควายที่เอามาทำเป็นเชือกหรือส่วนของผ้าใบก็กินได้ทนความหิวไปวัน ๆ เหมือนกัน

       ขนมปังที่เราเรียก ๆ กันนั้น ในการเดินเรือทางไกล เขาจะเตรียมทำเป็นแผ่นแบน ๆ แบบแห้ง เรียกว่า Biscuit ก้อนสี่เหลี่ยม อัดแข็งเลย ขนาดฟาดหัวหมายังแตกได้ กลาสีที่ฟันไม่ค่อยดีก็ต้องทุบให้แตก แล้วอมจนมันอ่อนพอกลืนได้ นั่นแหละครั้ง เขาว่า Sea biscuit

          เนื่องจากเรือใบสมัยก่อนมีท้องเรือที่กลม กระดูกงูที่ท้องเรื่อไม่ยื่นลึกลงใต้น้ำมากเท่าเรือสมัยนี้ ซึ่งช่วยลดความโคลงตัวลงได้มาก เวลาแล่นในทะเลจะโยกโคลงเคลงตลอดเวลา เขาก็พยายามถ่วงด้วยก้อนหินที่ท้องเรือเพื่อให้เรือทรงตัว (อย่างเรือสำปั้นที่มาจากเมืองจีนสมัยก่อน รุ่นก๋งผมที่มาจากซัวเถา ถึงต้องบรรทุกตุ๊กตาจีนตัวสูงใหญ่ ที่เห็นกันหน้าวัดสมัยก่อน ถ่วงที่ท้องเรือก็เพาะเหตุนี้ แถมเอามาขายต่อที่เมืองไทย พวกเราก็เลยได้มีโอกาสเห็นตุ๊กตาจีนหินกับสิงโตหินเรียงรายอยู่ตามหน้าวัดหลวงทั้งหลาย) ส่วนลูกเรือเวลานอนก็เลือกที่ไหนมีที่เหยียดขาได้ ก็นอนที่นั่น เวลาฝนตกหรือหนาวก็นอนเบียดกันใต้ท้องเรือห้องเก็บของ นอกจากกัปตันจะมีที่นอนและห้องส่วนตัวของตัวเอง

          โรคที่เกิดบนเรือก็ตั้งแต่ไข้ติดต่อไทฟัส ท้องล่วงเพราะอาหารเสีย โรคที่ทำให้คนตายก็มีกาฬโรคที่เรียกว่าโรคห่า ติดมากับหนูที่ติดโรคนี้บนฝั่งท่าเรือที่ไปแวะมา บางทีตายทั้งลำเรือก็มี ที่น่ากลัวที่สุดอีกโรคหนึ่งก็คือโรค สเคอวี่ Scurvy เป็นธรรมดาสำคัญการล่องเรือที่ยาวนานในทะเล เพราะขาดอาหารสด นั่นคือขาด วิตามิน C

อาการแรกของสเคอวี่ Scurvy ก็คือมีเลือดออกตามไรฟัน แล้วต่อมาเหงือกบวมและงอกโต มีเลือดและหนองที่เหม็นเน่าไหลตลอดเวลา ความเชื่อบางคนให้เอาปัสสาวะมาบ้วนปาก เพื่อกำจัดหนอง ฟันเริ่มโยกคลอนและหลุด มีรอยจ้ำเกิดขึ้นทั้งตัว แล้วก็ดำเป็นแถบ ๆ หนังจะพุพองโดยมีเลือดขังไว้ แล้วก็แตกออก เนื้อที่อยู่ข้างใต้เกิดเป็นเนื้อเน่า กาลาสีที่มีอาการจะพยายามเอามีดปาดเอาเนื้อเน่านี่ออก เพราะทนกลิ่นที่เหม็นและหนองที่ไหลไม่ไหว อาการทั้งหลายทำให้ไม่อยากกินอาหาร คนไข้มีอาการเพลียตลอดเวลา ปวดเมื่อยทั้งตัว แสดงว่าเชื้อโรคเข้าสู่ตัวเพราะขาดความต้านทานโรค ในที่สุดก็ตายเหม็นอยู่ในห้องเก็บของ พรรคพวกต้องจัดการโยนทิ้งทะเลไป บางรายก่อนตายทนไม่ไหวก็กระโดดทะเลจนน้ำตาย เพราะว่าตายจากจนน้ำตายทรมานน้อยกว่าโรคขาดวิตามินซีนี้เสียอีก  

          ในการบันทึกถึงการเดินทางของ วัสโก ดา กามา ไปที่อินเดีย มีจำนวนลูกเรือตอนออกเดินทาง 170 คน ตอนกลับมาถึงเมือลิสบัน เหลือแค่ 40 คน กินเวลาสองปีพอดี ผู้คนที่ไปต้อนรับจำต้องยืนห่าง ๆ ออกไป เพราะทนกลิ่นตัวของกลาสีทั้งหลายไม่ไหว ถ้าจะต้องถ่ายรูปหมู่คงต้องหุบปากกันทุกคน เพราะฟันหลุดหมดทุกคน (มีต่ออีก) 10/11/00

          ฮีโร่โคลัมบัส เมื่อได้ข้อมูลต่าง ๆ ว่าจะมีทางที่จะแล่นเรือไปถึงเมืองจีน ไปขุดทองกับเจงกิสข่าน เหมือนพวกเราที่มาขุดทองที่นี่ ซึ่งเดี๋ยวนี้คนไทยทั้งหลาย ต่างก็อยากมาขุดทองที่อเมริกาทั้งนั้น โดยเฉพาะที่แคลิฟอร์เนียนี่ แต่ผมขอบอกว่าอย่ามาดีกว่า ตอนนี้สถานการณ์ชักไม่ค่อยดี ถ้าเป็นโรบินฮู้ดยิ่งลำบากใหญ่ เพราะเขาไม่ให้สอบใบขับขี่แล้ว จะไปเป็นคนส่งเอกสารก็ไม่ได้ ถ้าไปล้างจาน หรือช่วยแคะขนมครก นายจ้างคนไทยก็บีบค่าแรงเหลือเกิน อยู่กับนายกทักษิณจะดีกว่า ทุกวัน เยาว์ท่านนายกก็ออกวิทยุให้ฟังแต่ข่าวดี ๆ ทั้งนั้น แล้วอีกสามปีข้างหน้าคนไทยจะไม่มีใครจนอีกแล้วในประเทศไทย ต่อตอนหน้า

 

           กลับไป ตอนที่ 1                                                     อ่านต่อ ตอนที่ 3  

 

หมายเหตุ : ลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของบทความนี้ เป็นของผู้เขียนบทความแต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ สามารถติดต่อได้ที่ info@cualumni.us

 

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California