ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

                          หลวงจีน

                                                                                     ตอนที่ 14                                                                                                                                                                                          นพ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

  

วัดเส้าหลิน

เล่าฮูคิดว่าเรื่องเต๋าจะเป็นเรื่องสุดท้ายแล้ว เผอิญไปเจอกระดาษเก่าสี่ห้าแผ่นเข้า ดีใจจนหัวใจออกมาเต้นนอกเสื้อ เพราะมันเป็นตำราเก่าแก่ที่เขากำลังค้นหากันอยู่ในยุทธจักร มันเป็นคัมภีร์เลยครับ เรียกว่า ยี่จิงเจง มันเป็นบันทึกความลับในการเปลี่ยนกล้ามเนื้อ คือเปลี่ยนจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นธรรมดาเป็นกล้ามเนื้อวิเศษอย่างงั้นแหละครับ(ไม่ใช่เนื้อสตูเหนียว ๆ เป็นฟิเล มิยอง ไม่ใช่ครับ นั่นมันเรื่องของสเต๊ก) จุ๊ ๆ อย่างเอะอะไป เดี๋ยวยอดฝีมือจะมาแย่งขโมยคัมภีร์ของเล่าฮูไป

คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ที่ที่ท่านปรมาจารย์ ตั๊กม้อไต้ซือ หรือ Bodhithamo เขียนไว้เพื่อฝึกวิชาคองฟูชั้นสุดยอด

เดิมทีเมื่อปรมาจารย์มาเผยแพร่ศาสนาพุทธแขนง เซน หรือชาน (มหายาน ในราว ๆ พ.ศ.1100 (ก่อนสมัยราชวงศ์ถังเกือบสองร้อยปี) 

สาเหตุที่ท่านไต้ซือแต่งคัมภีร์เล่นนี้ เพราะเห็นลูกศิษย์ที่เรียนหลักการนั่งสมาธิ มีอาการง่วงและอ่อนแรง เลยสอนวิธีออกกำลังกาย และเพิ่มกำลังของกล้ามเนื้อและยืดเส้นเอ็น จะได้ไม่เมื่อยมาก แถมมีการสะบัดไม่สะบัดมือ ยืดเส้นยืดสาย ตามตำราโยคะ เลยออกมาเป็นท่ามวยชุดหนึ่งเรียกว่า มวยอรหันต์

สมาธิของท่านไต้ซือตั๊กม้อเป็นที่เลื่องลือไกล และยังเป็นที่เล่าลือสืบกันมาจนถึงเดี๋ยวนี้ว่า ท่านสามารถนั่งหันหน้าเข้าหาหน้าผาเป็นเวลาเก้าปี จนเป็นเงาของท่านทาบอยู่บนกำแพงหน้าผา

ตอนท่านมรณภาพ ใครก็เห็นเป็นพยานกันมากมาย แต่ก็มีคณะทูตจีนไปสันถวไมตรีเดินทางผ่านแถวเขาเทียนซาน ซึ่งเป็นถิ่นทุระกันดารในทะเลสาบ ได้พบท่านตั๊กม้อไต้ซือ เดินถือเกือบเชือกสานข้างหนึ่งในมือ ท่านทูตก็คารวะและเรียนถามว่าท่านไต้ซือจะเดินทางไปไหนกัน ท่านไต้ซือก็ตอบว่าจะเดินทางกลับอินเดีย เมื่อท่านทูตกลับถือเมืองจีนก็เล่าเรื่องที่พบเห็นให้คนที่วัดเส้นหลินฟัง ไม่มีใครเชื่อ จึงไปเปิดหีบศพของท่านดู ก็ไม่พบศพท่าน แต่พบเกือกสานด้วยเชือกอยู่ข้างหนึ่ง นั่นคือประวัติและความมหัศจรรย์ของท่านไต้ซือ

เล่าฮูตกใจตื่นเพราะเสียงหลานสาวมันร้องแต่เช้า เล่าฮูก็รีบควานหาคัมภีร์ แต่ไม่พบ เจอแต่หนังสือพิมพ์เก่า ๆ ฉบับหนึ่งอยู่ที่ใต้เตียง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัดเส้าหลินที่เล่าฮูได้จดจำและบันทึกไว้ตอนท่องยุทธภพ

เมื่อพระวัดเส้าหลินรุ่นหลังสนใจในทางออกกำลังกายมาก จนกลายเป็นการฝึกหมัดมวยไป เลยเป็นการผสมกับการเรียนปริยัติธรรมไปด้วยพร้อม ๆ กัน ก็มีลูกศิษย์ที่เก่งไปทางหมัดมวยมากมาย และแถมมีนายทหารที่ปลดเกษียณ หรือลาออกจากราชการ เพราะบ้านเมืองยุ่งเหยิงด้วยการรบพุ่งกันไม่มีวันหยุดสิ้น เลยมาบวชที่วัดนี้แก้กลุ้มก็มีมากมาย ก็ได้ช่วยปรับปรุงวิชาหมัดมวยให้แก่ลูกศิษย์ของวัดนี้ เลยมีวิชามีอาวุธเข้ามาประปนด้วย จนเป็นที่เลื่องลือในประเทศจีนในทางหมัดมวยและอาวุธสำหรีบการสู้รบ

เมื่อมีบู๊ตึงที่เป็นเสาหลักทางยุทธวิธีของฝ่ายเต๋า วัดเส้าหลินก็เป็นของฝ่ายพุทธ ต่างก็ชิงดีชิงเด่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการถกเถียงทางหลักธรรมหรือทางยุทธวิธี ทางบู๊ตึงก็โด่งดันทางวิชาภายใน ส่วนวัดเส้นหลินก็โงดังทางกำลังภายนอก ทางสำนักบู๊ตึงก็มีปรมาจารย์นักพรตจางซัมฟองเป็นผู้ก่อนตั้ง ส่วนวัดเส้าหลินก็ต้องปรมาจารย์ พุทธิตั๊กม๊อดังที่เล่ามาแต่ต้น

ที่แท้แล้วมีวัดเส้าหลินอยู่ถึงสองแห่ง แห่งแรกขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1038 และพระพุทธิธรรมโม ได้มาเผยแพร่ศาสนาพุทธในนิกาย เซน อีกห้าสิบปีต่อมา วัดนี้อยู่ในมณฑลเฮ้อหนาน แล้วต่อมาพระเหว่ยหลาง ซึ่งเป็นสังฆนายกองค์ที่แปดของวัดเส้นหลิน ก็แยกสาขาไปตั้งวัดเส้นหลินที่มณฑล ฮกเกี้ยน แล้วตอนหลังก็มีชื่อเสียงโด่งดังมากทางวิชายุทธการพวกนี้ มีสานุศิษย์มากมายและชื่อเสียโด่งดังทั้งสงค์และฝ่ายฆราวาส และลูกศิษย์จากวัดนี้ได้แข็งข้อต่อราชวงศ์เช็ง และตั้งขบวนล้มล้างราชวงศ์นี้ เพราะเป็นคนต่างชาติ กษัตริย์ เชียงหลงเลยเอานโยบายเอาคนจีนฆ่าคนจีน โดยระดมสำนักต่าง ๆ เข้าหักหาญวัดเส้นหลินที่อยู่ทางมณฑลฮกเกี้ยน แล้วก็เผาผลาญวัดเส้าหลินทางตอนใต้นี้จนหมด

ส่วนวัดเส้าหลินเดิมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็ยังถูกเขม่นไปด้วย วัดเดิมนี้ ตั้งอยู่ในแถบเขาวูลูแถวเมืองจางโจว บนแถบเขาแถวนี้ก็มีวัดหลายวัดและสำนักเต๋าหลายศาลเจ้าด้วย แต่ไม่โด่งดังในการฝึกกังฟู

การฝึกหัดกำลังภายนอนนั้นย่อมเกี่ยวกับกล้ามเนื้อทั้งนั้น และดูเหมือนการฝึกแต่ละวิชานั้นมันแสนจะทรมานและต้องมีความอดทนอย่างมาก อาจเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะรับได้ ผู้เริ่มฝึกใหม่ ๆ มักจะเป็นเณรเด็ก ๆ ที่พ่อแม่เอาฝากไว้(ต้องเส้นใหญ่ด้วย เช่นตระกูลพวกกองฟูด้วยกัน) จะมีแผลปริ ผิวหนังฟกช้ำดำเขียว หนังถลอกเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อหนังเก่าลอกออก หนังใหม่ก็สร้างขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหนังหนาขึ้น อย่างเช่นเอามือล้วงเข้าในกองทรายวันละหลาย ๆ ชั่วโมง เอาหัวชนกันตั้งแต่เบา ๆ จนถึงสามารถ ขึ้นลงบันไดหินโดยเอาหัวเดินแทน ผูกน้ำหนัก 25 กิโลกรัมไว้ที่อัณฑะ แล้วเดินเหิน เอาแผ่นเหล็กผูกขา เพื่อให้เดินตัวเบาตั้งแต่เด็ก ๆ การฝึกที่ยากเย็นนี้ เขาว่า เพราะสมาธิที่เข้มแข็ง ที่เรียกว่ากำลังภายใน และการเก็งลมปราณที่ถูกต้อง ถึงจะทำการฝึกเหล่านี้ได้

เล่าฮูจะขยายสูตรลับของมวยเส้าหลินให้ฟังอีก การที่มีท่ามือเปล่ามากมาย เพราะได้ขยายท่ามือสิบแปดพระอรหันต์จนเป็น 72ฝ่ามือ 36ฝ่ามือแรกเป็นกำลังภายนอก ส่วน 36 ฝ่ามือต่อมาเป็นกำลังภายใน ท่ามวยทั้ง 72 ขบวนท่าเหล่านี้ รวมทั้งวิชาตัวเบาจะไม่ยอมถ่ายทอดให้ศิษย์สามัญที่ไม่ได้บวช เรียนแต่พระชั้นครูเท่านั้น อ้าว เล่าฮูเลยเล่าต่อไม่ได้ เพราะเป็นสูตรลับ

นอกนี้ก็มีวิชาสกัดจุด คงเหมือนอย่างวิชาฝังเข็มตามจุดต่าง ๆ นั่นแหละ ทั้งหมดเหล่านี้เรียกว่า คองชิวฟู  หรือคองฟู  ส่วนคนจีนนั้นเรียกว่า หวู่ซุด

วิชาสุดยอดของเส้าหลินนั้น คือวิชามวยเด็ก ข้อนี้ต้องฝึกตั้งแต่ก่อนจะแตกวัยหนุ่ม แล้วก็ห้ามมีเพศสัมพันธ์ใด ๆ ไม่ว่ามนุษย์ หมู หมาแมว และมีสมาธิแน่วแน่ ถ้าฝึกวิชานี้ได้สำเร็จ ผู้ฝึกจะรู้สึกว่าอ่อนวัย แขนขานุ่มนวลดังสำลี(เป็นไปได้ไง ฝึกแทบตาย ไม่มีกล้ามเนื้อแข็ง ๆ เป็นมัด ๆ ได้อย่างไร ) ตัวเบาดั่งนกนางแอ่น มั่นคงเหมือนเหล็กไหล(นึกไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไร) นั่นคือเป็นเด็กหนุ่มตลอดกาล แต่ห้ามตัดเครื่องเพศเด็ดขาด และก็ต้องฝึกปรือทั้งชาติ ห้ามมีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด ถ้าเวอร์จี้นหมดไปเมื่อไหร่ วิชาทั้งหมดที่ฝึกมาก็จะศูนย์เปล่า ได้แต่รำมวยให้ดูเล่นได้เท่านั้น สู้กับผู้อื่นไม่ได้

นอกจากวิชาสำคัญ ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ก็มีมวยของสัตว์ต่าง ๆ เช่นมวยเหยี่ยว มือเสือเป็นต้น นอกนี้ก็มี หมัดเมา ซึ่งผู้ใช้อาจใช้ได้ตอนที่กินเหลาจนเข้าที่แล้ว เกิดมีการต่อสู้กันขึ้น

ยังมีวิชาใช้อาวุธ  การเรียนใช้อาวุธก็มีถึงยีสิบอย่าง คืออาวุธสั้นสิบอย่าง อาวุธยาวอีกสิบอย่าง วิชาอาวุธเหล่านี้ เหล่าสานุศิษย์ที่เป็นฆราวาสที่จะเรียนเท่านั้น

ส่วนพระนั้น ก็ต้องอาศัยกระบองที่ใช้ในการค้ำตัวตอนเดินทาง หรือเป็นคานหาบของเท่านั้น จึงได้เกิดวิชากระบองประจำเส้าหลินที่โด่งดังขึ้น หรือชั้นผู้ใหญ่ที่ถือกระบองโพธิธรรม ที่ตรงปลายแยกเป็นสี่แฉก ทำด้วยเหล็กหรือทองเหลือง การที่ต้องเรียนวิชาพวกนี้ของพระ เพราะทั้งสัตว์ป่าในเขาแถบนั้นมีชุมมากในสมัยนั้น คนชั่วช้าอาจจะมาปล้นวัด หรือศาสนาที่ต่างกันอาจจะมาหาเรื่องก็ได้ อีก

พระจักรพรรดินีบูเซกเทียนในต้นราชวงศ์ถังได้เป็นผู้อุปถัมภ์ได้วัดนี้อย่างมากมาย ทั้งที่ดิน สร้างวัตถุสถานมากมาย อาหารและเงินทองทุกอย่าง ด้วยวัดนี้ได้สร้างบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อราชวงษ์ถัง

ด้วยพระเจ้าถังเกาจง ปฐมกษัตริย์ ตอนก่อร่างสร้างราชวงศ์ขึ้นหลังราชวงศ์สุย พระองศ์ถูกศัตรูจับไปขังไว้ ด้วยท่านเป็นศิษย์นอกสำนักคนหนึ่ง วัดเส้าหลินได้ส่งพระที่เก่งทางยุทธมาก 12 องค์ไปช่วยออกจากคุกมาได้ และยังช่วยในการาสู้รบอีกหลายครั้ง เมื่อพระเจ้าถังเกาจงได้สถาปนาตัวเองเป็นปฐมกษัตริย์ วัดนี้ก็ได้รับการสถาปนาเป็นวัดหลวงของราชวงศ์ถัง

ในสมัยกลาง ๆ ราชวงศ์หมิง ได้มีการปล้นฆ่ากันที่ตามชายฝั่งจากโจรสลัดญี่ปุ่นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะแถบชายฝั่งมณฑลฮกเกี้ยน หลวงจีนก็เลยรวมกำลังกันตั้งเป็นกองทัพต่อสู้และป้องกันแถวชายฝั่งแถบนี้โดยการร่วมมือจากชาวบ้าน หลวงจีนต้องมรภาพไปเสียสามสิบกว่ารูป จนโจรสลัดไม่กล้ากลับมารุกรานอีก วัดนี้ก็เลยได้รับพระราชทานแท่นหินปักธงวัดเส้นหลิน และสิงโตหินหนึ่งคู่ไว้ที่หน้าวัด

วัดนี้ก็มีเวรและกรรมเหมือนทุกชีวิตในโลก เคยรุ่งเรืองถึงที่สุด และก็ตกอับถึงที่สุด เมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเมาซีตุนขึ้นครองอำนาจ พระทุกรูปถูกไล่ออกจากวัดไปไถนาหมด เหลือแต่คนทำความสะอาดและดูแลวัตถุภายในวัดเท่านั้น เมื่อนายเต้งเสียวผิวขึ้นแทน ก็มีการผ่อนผันให้มีพระเก่ามาจำวัดกันบ้าง แต่ต้องรู้พระธรรมได้ถ่อยแท้ ระยะนี้ก็มีการรับพระและเณรประจำวัดพอสมควร มีการฟื้นฟูวิชากองฟูกันใหม่ เพื่อไม่ให้วิชานี้ศูนย์สิ้นไปจากโลก เพราะถือว่าเป็นศิลปะป้องกันตัวประจำชาติ และเป็นการออกกำลังกายด้วย  ได้มีการแสดงนอกประเทศถึงวิชานี้หลายครั้ง และการร่วมแสดงหนังของฮ่องกงถึงประเทศต่าง ๆ จนชาวต่างประเทศสนใจต่อวิชานี้กันมากมาย และมาศึกษาวิชานี้ถึงในวัดด้วย

          เล่าฮูก็คงเหนื่อยตามเคย จึงขอจบเรื่องศาสนาในประเทศจีนเพียงแค่นี้

.

                  กลับไปตอนที่ 13                                            อ่านต่อ ตอนที่ 15

 

หมายเหตุ : ลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของบทความนี้ เป็นของผู้เขียนบทความแต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ สามารถติดต่อได้ที่ info@cualumni.us

 

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2005 Chulalongkorn University Alumni Association of California