สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ในเครือสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์

                             ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

         

                               ประกวดนางงาม   

                                                                     ตอนที่ 4

                                                                                                          น.พ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

 

เมื่อนั้นนางเทพวีนัสก็จับแขนเจ้าชายปารีสเหาะมาที่เมืองสปาต้า แล้วก็ทำเป็นแวะมาเยี่ยมพระเจ้ามีนีเลา เผอิญพระเจ้ามีนีเลาจะต้องมีธุระไปเมืองอื่น เสียหลายวัน (อาจเป็นแผนหลอกเสือออกจากที่นอนของนางเทพวีนัสก็ได้) เลยฝากให้มเหสีเฮเลนออกต้อนรับแขกที่มาจากสวรรค์และแขกเมืองทั้งสองท่านที่มาเยี่ยม

 ครั้งแรกเมื่อเจ้าชายปารีสเห็นพระโฉมแม่นางเฮเลนก็ตกตลึงในความสวยของแม่นาง อาจจะเป็นเพราะตาเจ้าชายอยู่กับแกะมานาน แม้แต่แกะตัวเมียก็ยังงาม คราวนี้มาเห็นมนุษย์ผู้หญิงงาม ๆ เข้าจริง ๆ ก็เลยหลงเสน่ห์ จนถอนตัวไม่ขึ้น และตั้งปรารถนาจะต้องได้แม่นางมาเป็นเมียของตนให้ได้

นางเทพพอมองดูก็รู้แล้วว่าอ้ายไก่อ่อนแต่ตาสูงของนายปารีสนี่ชอบของที่เธอเสนอมาให้ นางจึงวางแผนขั้นต่อไป หลังจากแผนแรกให้ผัวนางเฮเลนออกจากเมืองไป แผนขั้นต่อไป ก็ต้องเล่นด้วยน้ำมันพราย เรียกว่า Potion Number 9 ปะพรมลงบนนางเฮเลน จนนางหลงรักเจ้าชายปารีสจนถอนตัวไม่ขึ้น คืนนั้น เขาจะทำอะไรกันในที่ลับ ผมบอกไม่ได้ เพราะไม่ได้ไปเห็นมากับตา

วันรุ่งขึ้นเจ้าชายปารีสก็พานางหนีไปที่เมืองทรอย Troy เมืองที่เกิดของเขา ในช่วงระหว่างนั้นก็มีการแข่งขันกีฬาอยู่ เจ้าชายปารีสก็เข้าแข่งขันโดยไม่แสดงตัวว่าเป็นใคร จนได้รับชัยชนะทุกประเภท แล้วก็ประกาศตัวเองว่าเขานี่แหละคือเจ้าชายที่หายตัวไปตั้งแต่เกิด เจ้าเมืองและมเหสีเห็นเจ้าชายที่เอาไปทิ้งไว้แต่เด็ก แล้วกลับมาแบบฮีโร่ ก็ดีอกดีใจและต้อนรับเจ้าชายและนางเฮเลนเป็นอย่างดี (ชาวกรีกเขานิยมชมชอบต่อฮีโร่ที่ชนะการแข่งขันทางกีฬาและการรบ มากกว่านางงามเสียอีก)

การกลับมาสู่เมืองทรอยของเจ้าชายปารีสก็สมตามที่โหราจารย์พยากรณ์เอาไว้ แต่ไม่มีใครกล้าทักติง เพราะเจ้าเมืองทรอยที่ชื่อว่าพระเจ้าพรีอัม Priam นั้นกำลังชื่นชมหลงใหลความเป็นฮีโร่ของเจ้าชายที่เพิ่งกลับมาพร้อมทั้งนางงามที่สวยที่สุดในโลก และหารู้ไม่ว่านี่คือความหายนะที่เจ้าชายปารีสกำลังนำมาสู่เมืองทรอย

เมื่อพระเจ้ามินิเลากลับมาจากธุระ แล้วพบว่าเมียหนีตามชู้ไปก็เป็นอันโกรธาเป็นหนักหนา เรียกประชุมเจ้าเมืองทั้งหลายที่เคยร่วมสาบานกันไว้ ยกทัพไปจัดการกับเมืองทรอย และไปเอาเมียคืนมา

คำสาบานที่ร่วมกันทำนี่ก็แปลกดีเหมือนกัน เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก กล่าวคือนางสาวเฮเลนนั้นเป็นสาวที่สวยที่สุดในแดนดินของเจ้าเมือง ก่อนแต่งงานนั้นมีเจ้าชาย เจ้าเมืองมาเหยียบหัวกระไดหน้าวังจนพังไปหลายขั้น แต่ละคนก็องอาจห้าวหาญทั้งนั้น พ่อของเฮเลนนั้นกลัวพวกนี้จะฆ่าฟันกันเองตายหมดเสียก่อน กว่าจะได้นางสาวเฮเลนไปเป็นนาง คงต้องเสียค่าทำศพมากมาย พ่อตาในอนาคตเลยให้ทุกคนที่มาจีบลูกสาวตัว (นางเฮเลนเป็นแค่ลูกเลี้ยง พ่อที่แท้จริงคือพระเจ้าบนสวรรค์ จูปีเตอร์นั้นเอง แต่ไปแอบปล่อยไข่ไว้บนโลกมนุษย์กับนาง Leda แต่ไม่กล้าเลี้ยงไว้ กลัวเมียหลวง จูโนจะเล่นงาน) คำสาบานนั้นว่า "คนใดคนหนึ่งในพวกสูเจ้าจะได้ครองหัวใจและตัวของนาง แต่เพื่อให้นางจะได้มีชีวิตครอบครัวที่สงบสุข คนที่ไม่ได้ตัวนางไปจะไปรบกวนนางไม่ได้ นอกจากนี้แล้ว ถ้าใครก็ตามที่ไปรบกวนต่อครอบครัวของนาง เจ้าทั้งหมดต้องออกปกป้องครอบครัวนางไว้ โอเคหรือเปล่า ถ้าโอเคก็ทำการสาบานไว้ต่อหน้าพระเจ้าจูปีเตอร์ที่เป็นพ่อที่แท้จริงของนางเสีย เอ้า แต่ละคนเอาดอกไม้ธูปเทียนไปหนึ่งกำ แล้วก็สาบานตามที่ข้า ฯ บอกไว้นี้ ห้ามกลับคำ ถ้าไม่รักษาคำสาบานนี้ ก็ขอให้ตายเจ็ดวัด เก้าวัด อดได้ค่าประกันชีวิต แล้วเนื้อยังจะให้หมาแทะ เหลือแต่กระดูกให้หนอนกิน" แล้วนางก็เลือกเอาพระเจ้า มินิเล่าแห่งเมืองสปาต้าเป็นพระสวามี ด้วยคำสาบานนี้ทุกคนก็คงรักษาไว้อย่างมั่นคง ไม่ไปรบกวนครอบครัวนี้จริง ๆ

เมื่อนางหนีตามชู้ไป แต่พระเจ้ามินิเลาเขายืนยันว่าถูกเจ้าชายปารีสลักขโมยตัวไป ตามคำพูดของยายแป้น แม่คนใช้ประจำตัวนางเฮเลนที่ไปแอบดูเขาคืนนั้น ยายแป้นที่เป็นคนช่างพูด ก็บรรยายเสียละเอียด แม้กระทั่งเรื่องบนเตียง ให้พระเจ้ามินิเลาฟังจนเดือดดาล หนวดคราวตั้งชี้ขึ้นฟ้า แหม ๆ ไอ้ปารีสชั่วนี่ กูจะต้องยกทัพไปเผาเมืองทรอยให้มันวอดวาย จะตายให้เขาลือชัย ว่าเมียกูชื่อเฮเลน เขาคงร่ายรำกันอย่างนี้แหละครับ

พระเจ้ามินิเลาก็ถือว่าคำสาบานที่เจ้าเมืองทั้งหลายให้ไว้ยังคงต้องศักดิสิทธิ์ เลยเรียกประชุมเจ้าเมืองทั้งหลายที่ร่วมสาบานให้ยกกองทัพมาสมทบกันเพื่อไปทวงนางเฮเลนคืนจากเมืองทรอย ซึ่งเป็นเมืองท่า อยู่ไกลพอดูคือต้องข้ามทะเลเอเจียน Aegean Seaไปทางประเทศตุรกีปัจจุบันนี้

สงครามทวงเมียครั้งนี้กินเวลาตั้งเกือบสิบปี  เรียกว่า Trojan War จนเหนื่อยไปทั้งกองทัพกรีกและกองทัพเมืองทรอย แม่ทัพเอกก็ตายลงเสียมากมาย จนกองทัพกรีกก็หมดกำลังคน เรี่ยวแรง และเงินทองที่จะรบต่อไป ก็เลยออกอุบายว่าขอเลิกทัพดีกว่า โดยยกกองเรือทั้งหมดออกจากชายฝั่งไปหมด แต่ทิ้งม้าที่แกะจากไม้ไว้ที่ชายฝั่งตัวสูงมหึมา Trojan Horse และทหารแก่ ๆ ไว้คนหนึ่ง เพื่อบอกคำพูดที่จะหลอกให้ชาวเมืองทรอยให้เชื่อ แล้วจะได้ลากเอาม้าไม้นี้เข้าไปในกำแพงเมือง

หลังจากที่ลากเอาม้าไม้เข้าเมืองมาเพื่อเป็นเครื่องบูชาเทพเจ้าอพอลโล และได้ฉลองชัยชนะ พอหลังเที่ยงคืน เมืองทรอยก็ได้สงบลงด้วยความเหนื่อยอ่อนแรง ทั้งจากการรบกับกองทัพของกรีกมาเกือบสิบปี และการฉลองกันอย่างเต็มที่ในคืนนั้น ทหารต่างก็ได้พักผ่อนกันเต็มที่ ไม่ได้วางยามรักษาเมืองไว้อย่างเข้มแข็งเหมือนเดิม

 ที่ใต้ท้องของม้าไม้ยักษ์ก็ค่อย ๆ เปิดออก พร้อมกับทหารกรีกไต่กระไดเชือกลงมาที่พื้นดินทีละคน   พร้อม ๆ กันนั้น เรือของทัพกรีกที่ลอยลำรออยู่ที่นอกฝั่งทะเลไม่ไกลนักก็เคลื่อนลำกลับมาขึ้นฝั่งจนเต็มชายหาด และค่อยอ้อมมาทางประตูเมืองทั้งสี่ด้านอย่างเงียบที่สุด ทหารกรีกที่ซ่อนอยู่ในท้องของม้าไม้ก็ลงมาอยู่บนพื้นดินจนหมดและย่องเงียบ ๆ ไปที่ประตูเมือง คงมีทหารทรอยบางคนที่เฝ้าประตูเมืองตื่นขึ้นมาก็ถูกเก็บเงียบ แล้วก็เปิดประตูทางออกทั้งสี่ด้านของเมือง ทหารกรีกที่รออยู่ต่างก็กรูกันเข้ามาเต็มเมือง บุกเข้าไปถึงในราชวัง ส่วนในเมืองนั้นทหารกรีกก็ได้ฆ่าฟันทหารของทรอยล้มตายลงอย่างไม่ปราณี จนไม่มีผู้ชายเหลือเลย ส่วนผู้หญิงก็ถูกจับเอาไปขายเป็นทาสหรือแบ่งกันระหว่างเมืองต่าง ๆ ของกรีกเป็นนางบำเรอ เมืองทรอยถูกทำลายลงหลังจากสงครามครบสิบปีพอดี ทหารกรีกก็ปล่อยไฟเผาเมืองจนสิ้นซาก เมืองทรอยก็เป็นอันล่มสลายจนไม่มีร่องรอยหลงเหลือให้เห็น อยู่เกือบสามสี่พันปี จนถึงราว ๆ  คศ 1870 จึงถูกนักขุดทางโบราณคดีของเยอรมันนีชื่อ Heinrich Schliemann ขุดพบกำแพงยักษ์ที่ยังเหลืออยู่แต่ถูกฝังจมอยู่ใต้พื้นดิน เป็นหลักฐานว่าเรื่องที่เล่ามาเกี่ยวกับเมืองทรอยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

 

               กลับไป ตอนที่ 3                                                                      อ่านต่อ ตอนที่ 5       

                                                         กลับไป มุมนักอ่าน พบ นักเขียน    

    

หมายเหตุ : ลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของบทความนี้ เป็นของผู้เขียนบทความแต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ สามารถติดต่อได้ที่ info@cualumni.us             

                                                       

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2008 Chulalongkorn University Alumni Association of California